พระเครื่อง

พระสมเด็จเหนือหัวไปไหนหมด?

พระสมเด็จเหนือหัวไปไหนหมด?

09 ก.ค. 2556

พระสมเด็จเหนือหัวไปไหนหมด? กับ...การกลับมาสู่วงการสร้างพระเครื่องของ'เสี่ยอู๊ด' : เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู ภาพกุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร


             นายสิทธิกร บุญฉิม ประธานบริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด หรือที่รู้จักในนาม เสี่ยอู๊ด ต้องโทษคดีฉ้อโกงประชาชนกรณีโฆษณาหลอกลวงให้ประชาชนเช่า “พระสมเด็จฯ” เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยศาลอาญาและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก ๕ ปี และได้ปล่อยตัวในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ นั้น ปรากฏว่ามีบุคคลและหน่วยงานต่างๆ ที่เสี่ยอู๊เคยสร้างคุณประโยชน์ให้ไว้จะเดินทางมารอรับที่เรือนจำคลองเปรมจำนวนมาก

             "มีหลายหน่วยงานที่มาติดต่อผมให้มาช่วยสร้างพระเครื่องให้ตั้งแต่ผมยังไม่พ้นโทษ บางรายก็ติดต่อไปตามองค์กรต่างๆ ที่เคยได้ประโยชน์จากผม แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ ๑.องค์กรเดิมที่เคยได้เงินไปแล้วเมื่อเปลี่ยนผู้บริหารก็อยากได้อีก ๒.เป็นเพื่อนกับผู้บริหารองค์กรใหญ่ รวมทั้งพระเถระอีกหลายวัด เคยให้ใครสร้างวัตถุมงคลแล้วไม่สำเร็จ และ ๓.บุคคล พระและองค์กรที่ผมไม่เคยรู้จัก บางรายถึงกับติดต่อผ่านคนส่งเอกสารช่วยเป็นธุระให้ " นี่เป็นคำยืนยันจากปากของเสี่ยอู๊ด

             พร้อมกันนี้ เสี่ยอู๊ด ยังบอกด้วยว่า ในวันนี้ยังไม่ได้คิดจะสร้างอะไรให้ใคร หรือหน่วยงานใดเป็นพิเศษ ๕ ปีที่อยู่ในเรือนจำได้นึกคิดที่จะสร้างรูปแบบพระเครื่องไว้มากถึง ๑๕ รายการ โดยมีความมั่นใจว่าสามารถสร้างความนิยมและความศรัทธาให้เกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะสร้างให้องค์กรใด แต่ได้คิดว่าถ้าจะสร้างให้ก็จะต้องเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือและสร้างคุณูปการที่เป็นสารธารณประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแก่มหาชน ถ้าทำแล้วเพื่อเอาเงินไปใช้ในการบริหารองค์กรนั้นจะไม่สร้างให้เด็ดขาด

             "ต่อไปนี้ถ้าสร้างพระเครื่องอีกครั้งผมจะประกาศไปเลยว่า รุ่นนี้ผมเป็นคนออกแบบจัดสร้าง ใครที่เกลียดเสี่ยอู๊ดก็ไม่ต้องมาเช่า นักข่าวก็ไม่ต้องมาเขียนข่าวโจมตีหรือขุดคุ้ยกันภายหลัง หน่วยงาน องค์กร และบุคคลที่ผมจะสร้างพระให้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมสูงจริงๆ มีความกล้าหาญที่กล้ารับผิด และกล้าที่จะรับชอบในเรื่องราวที่จะเกิดขึ้น ที่สำคัญคือผู้ใหญ่ท่านนั้นต้องไม่ทอดทิ้งผมตลอด ๕ ปีที่อยู่ในเรือนจำ ผมจะเน้น คือ ต้องเอาเงินที่ได้ไปสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล เป็นอันดับแรก ส่วนการสร้างสาธารณกุศลอื่นๆ ผมจะให้ความสำคัญเป็นประเด็นท้ายๆ" เสี่ยอู๊กล่าว

             อย่างไรก็ตามตลอด ๕ ปีที่อยู่ในเรือนจำ เสี่ยอู๊ดได้ติดตามข่าวการสร้างวัตถุมงคลอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่เขาพ้นโทษได้มีโอกาสไปที่ทำการไปรษณีย์สาขาตึกช้างเพื่อส่งเอกสาร มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดให้ฟังว่า "ตั้งแต่คุณสิทธิกรเป็นคดีเข้าในเรือนจำ ไม่ปรากฏว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จะขายวัตถุมงคลได้ดีเท่าคุณสิทธิกรทำสักรุ่นเดียว ส่วนรุ่นที่เปิดให้เช่าอยู่ก็ไม่โดนเลยสักรุ่น"

             เมื่อถามว่า "พระสมเด็จเหนือหัวไปไหนหมด?" เสี่ยอู๊ด ตอบว่า วันนี้ผมไม่มีพระสมเด็จเหนือหัวสักองค์ พระสมเด็จเหนือหัวทั้งหมดแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ ๑.ส่วนแรกที่ให้เช่าบูชาผ่านธนาคารต่างๆ ซึ่งมีรายได้กว่า ๔๐๐ ล้านบาท ได้ถวายสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศน์ฯ ในฐานะประธานมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ โดยจำนวนพระที่เหลือต่างๆ ได้ส่งกลับไปยังที่ทำการมูลนิธิ

             ๒.รายได้จากการจัดจำหน่ายผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย และร้านทอง รายได้ส่วนนี้เป็นต้นทุนในการจัดสร้างทั้งหมด พระที่เหลือส่วนนี้ผมสั่งการออกจากคุกให้ส่งไปถวายวัดต่างๆ และมอบให้องค์กรการกุศลทั่วประเทศตามเอกสารประมาณกว่า ๒๔,๐๐๐ แห่ง โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งลพบุรีได้รับมอบมากที่สุด และ ๓.ได้สั่งการออกจากคุกให้นำไปบรรจุไว้ใต้ฐานพระประธานที่ตนเองเคยจัดสร้างไว้ตามสถานที่ต่างๆ รวมทั้งมอบเป็นที่ระลึกให้ผู้ที่นับถือ

             "ระหว่างอยู่ในเรื่อนจำผมได้สั่งการให้ลูกน้องนำพระที่เหลือจากการจัดสร้างในแต่ละครั้ง รวมทั้งพระสมเด็จเหนือหัวมอบให้วัดต่างๆ บางวัดได้พระกริ่ง บางวัดได้พระหลวงพ่อเงิน บางวัดได้หลวงพ่อโสธร แต่ที่มากสุดเป็นพระสมเด็จเหนือหัว เท่าที่รู้วัดวาอารามต่างๆ ได้มอบให้กับญาติโยมที่มาช่วยงานบุญในรูปแบบต่างๆ ทั้งผ้าป่า กฐิน งานบุญประจำปี โดยวัดต่างๆ ที่รับมอบส่วนใหญ่จะส่งเอกสารใบอนุโมทนาบุญกลับมาให้" เสี่ยอู๊ดกล่าว

             อย่างไรก็ตาม ในคดีนี้แม้ว่าเสี่ยอู๊ดจะต้องติดคุกครบ ๕ ปี แต่สำหรับผู้เช่าพระสมเด็จเหนือหัวที่จะมาร้องขอเงินคืนทั้งหมด เหตุไฉนเงินที่จำหน่ายพระกลับอยู่ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และจนวันนี้ยังไม่มีใครนำพระมาคืนเลยสักองค์


ทำคุณบูชาโทษ


             สร้างอาคารอเนกประสงค์หอฉัน สูง ๔ ชั้น ๘๕ ล้านบาท และมอบ เงิน ๑๐๐ ล้านบาท สร้างอาคารหอประชุม มวก.๔๘ พรรษา ให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) มอบเงิน ๑๓๑ ล้านบาท อุปถัมภ์ซื้อเครื่องเอ็มอาร์ไอ และสร้างอาคารปฏิบัติการสูง ๖ ชั้นพร้อมพระเครื่องกว่า ๗๐๐ ล้านบาท ให้โรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี มอบเงินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ให้สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย และพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย มอบ ๕๕ ล้านบาทและพระเครื่องมูลค่า ๑๐๐ ล้านบาท อุปถัมภ์สร้างอาคารอำนวยการวิทยาลัยสงฆ์และพุทธอุทยานนครสวรรค์

             ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งผลงานของเสี่ยอู๊ด

             “แม้ใครจะว่าผมดีหรือชั่ว ผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ ผมจะให้ความสำคัญกับการสร้างคุณประโยชน์บนแผ่นดินให้มากที่สุด แม้เขาจะเอาผมไปติดคุกผมก็ยังมีความสุขกับการได้สั่งการออกมาให้ทำประโยชน์ก่อเกิดแก่สังคม ประเทศชาติและพระพุทธศาสนาอยู่ตลอด ๕ ปี พูดในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ อสมท ช่อง ๙ นั้น เพราะหลังจากเข้าคุกแล้วจึงไม่เชื่อว่าบุญบาป นรก สวรรค์จะมีจริง แต่ผมเชื่อเรื่องคุณงามความดี ความชั่ว และสัมผัสได้จริงแต่ความสุข ความทุกข์ ถ้าพระมหาเถระและผู้มีอำนาจในแผ่นดินเชื่อว่าบุญ บาป นรก สวรรค์มีจริง เขาย่อมจะไม่กล้าเอาผมไปติดคุก ๕ ปีเต็มๆ" เสี่ยอู๊ด กล่าว

             อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาแม้จะมีนักข่าวบางท่านโกรธ จนต้องเขียนข่าวโจมตีผมจนเสียหายต่างๆ นานาก็ตาม แต่เสี่ยอู๊ ยืนยันว่า ไม่เคยโกรธเขาเลยเพราะอย่างน้อยเขาก็เคยทำดีโดยเขียนข่าวชื่นชมผมมาก่อน แม้วันนี้ใครจะเกลียดหรือจะรักอย่างไร ก็รู้สึกเฉยๆ เพราะผมก็ยังเป็นตัวของตัวเองอยู่เสมอ มิต้องการเกิดมาเป็นคนดีของใคร แต่ชอบการสร้างคุณความดีให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน

             "แม้ผมจะติดคุกในคดีพระสมเด็จเหนือหัวแทนก็ตาม แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้ปกป้องหลวงพ่อวัดสุทัศน์ทำให้ท่านได้ก้าวขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ด้วยผลงานสาธารณกุศลที่ผมสร้างถวายให้เกิดคุณแก่ท่านแล้ว วัดวาอาราม โรงเรียนเด็กเล็ก เด็กโต โรงพยาบาล วิทยาลัยสงฆ์ มหาวิทยาลัยสงฆ์ องค์กรการกุศล และทุนการศึกษาให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาต่างๆ สิ่งนี้คือผลจากการกระทำด้วยความคิดของผมที่ตั้งใจสร้างขึ้นแล้ว แม้จะเป็นการทำคุณบูชาโทษและใครๆ จะด่าว่าผมเป็นคนชั่วก็ตาม แต่สิ่งต่างๆ ที่ผมสร้างไว้ยังก่อเกิดประโยชน์ให้ประชาชนอยู่ทุกวันนี้ และเป็นสิ่งที่ดีที่เป็นอนุสรณ์ชีวิตของผมในภพชาตินี้ครับ” เสี่ยอู๊ดกล่าวทิ้งท้าย