พระเครื่อง

๘ปีคดีสังหารพระสุพจน์ สุวโจ

๘ปีคดีสังหารพระสุพจน์ สุวโจ

16 มิ.ย. 2556

๘ปีคดีสังหารพระสุพจน์ สุวโจ 'ความหวังที่เหลืออยู่อาจเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์' จากใจ พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยมนสิกุล โอวาทเภสัชช์


              "คดีสังหาร พระสุพจน์ สุวโจ ที่เวลาล่วงเลยมาแล้วถึง ๘ ปี ญาติและผู้เกี่ยวข้องแม้จะไม่ถึงกับสิ้นหวัง แต่ก็แทบจะไม่เหลือความหวังกับหน่วยงาน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษอีกต่อไปแล้ว สำหรับเวลาของอายุความที่เหลืออีก ๑๒ ปี ความหวังที่เหลืออยู่อาจเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ เช่น มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีการปฏิรูปกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบในคดี เป็นต้น หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องรอให้ผู้กระทำผิด และผู้บงการเดินทางมามอบตัวเอง ซึ่งอาจจะง่ายกว่าปล่อยให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทำงานไปตามยถากรรม ดังเช่นที่เป็นอยู่"

              พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ กล่าวถึงความสิ้นหวังจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการติดตามคดีการลอบสังหารพระสุพจน์ สุวโจ อดีตรองประธานกรรมการมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในสถานปฏิบัติธรรม 'สวนเมตตาธรรม' และ 'สวนป่าเมตตาธรรม' บ้านห้วยงูใน ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่ผ่านมา

              ท่านอธิบายย้อนไปในอดีตว่า เดิมที่ดินตรงนี้ได้รับมอบจากเจ้าของเดิม ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๔๑ ขณะนั้นมีเนื้อที่รวมกันกว่า ๑,๕๐๐ ไร่ โดยจัดตั้ง 'มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์' ขึ้นเป็นองค์กรบริหารงาน ตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยสมบูรณ์ในปี ๒๕๔๕ และมอบพื้นที่กว่า ๘๐๐ ไร่ให้เป็นป่าชุมชน ซึ่งมีเนื้อที่สวนป่าเหลืออยู่กว่า ๔๕๐ ไร่ เนื้อที่สถานปฏิบัติธรรม ๘๐ ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นป่าสงวนเสื่อมสภาพ ที่สถานปฏิบัติธรรมพยายามฟื้นฟูสภาพป่า อย่างไรก็ตาม มีความพยายามบุกรุกยึดครองตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ โดยนายทุนและคนของนักการเมือง เพื่อนำพื้นที่ไปเร่ขายนายทุนสวนส้ม

              "ขณะนั้นมูลนิธิพยายามแจ้งความดำเนินคดี แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความ จนกระทั่งมีการร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อหลายองค์กร จึงรับแจ้งความในปี ๒๕๔๗ และอัยการสั่งฟ้องในปี ๒๕๔๘ ปีนั้นเองพระสุพจน์ ก็ถูกรุมทำร้ายด้วยอาวุธมีคมอย่างอุกอาจในพื้นที่ของสถานปฏิบัติธรรม หลังจากการข่มขู่ให้ออกจากพื้นที่ไม่สำเร็จ

              "คดีพระสุพจน์เป็น ๑ ใน ๓ คดีสำคัญที่เกิดขึ้นในยุคคุณทักษิณ ชินวัตรที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ แม้แต่จะระบุตัวผู้ต้องสงสัย ก็ไม่สามารถระบุได้ ในขณะที่คดีทนายสมชาย นีละไพจิตร และคดีคุณเจริญ วัดอักษร มีการจับกุมผู้กระทำความผิด มีการนำคดีขึ้นสู่ศาล แม้ว่าผลในบั้นปลายจะไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายผู้ตาย แต่ก็นับได้ว่ายังมีความคืบหน้าอยู่บ้าง ขณะที่คดีพระสุพจน์ยังมืดมน"

              พระสุพจน์ สุวโจ (ด้วงประเสริฐ) อดีตรองประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ก่อนบวชท่านเรียนจบจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อทำงานได้ระยะหนึ่งแล้วจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ในปี ๒๕๓๕ ขณะบวชมีอายุ ๒๖ ปี หลังจากบวช ท่านศึกษาปฏิบัติธรรมหลายแห่ง และได้เข้าร่วมการอบรมอานาปานสติที่สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี ทำให้ท่านสนใจที่จะศึกษาปฏิบัติธรรมในสวนโมกข์กับท่านพุทธทาสภิกขุ

              ขณะที่จำพรรษาในสวนโมกข์ ท่านช่วยงานด้านเอกสารต่างๆ งานบัญชีของวัด รับผิดชอบและดูแลงานห้องสมุดธรรมะของสวนโมกข์ (โมกขพลบรรณาลัย) ช่วยการอบรมอานาปานสติ และการจัดค่ายเยาวชนของวัด อีกทั้งยังร่วมรื้อฟื้นหนังสือพิมพ์ 'พุทธศาสนา' เพื่อสื่อสารธรรมะของท่านพุทธทาสกับคนร่วมสมัยให้มากขึ้น

              ท่านเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม 'พุทธทาสศึกษา' และเป็นทั้งเว็บมาสเตอร์ เว็บไซต์ www.buddhadasa.org ที่ทำงานเผยแผ่งานของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุร่วมกับพระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณและสหธรรมิกอีกหลายรูปที่บรรจุงานธรรมโฆษณ์ของท่านพุทธทาสไว้มากที่สุด จนกระทั่งได้รับนิมนต์มาอนุรักษ์ผืนป่าจำพรรษาอยู่ที่สวนเมตตาธรรมแห่งนี้ ก่อนที่จะถูกลอบสังหารอย่างทารุณยิ่งเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ ขณะนั้นท่านมีอายุ ๓๙ ปี พรรษาที่ ๑๓

              จนถึง ณ วันนี้ ใช่ว่าพระกิตติศักดิ์และเจ้าหน้าที่มูลนิธิจะสามารถดูแลผืนป่าอันงดงามซึ่งเป็นต้นน้ำของทุกชีวิตได้อย่างสงบก็หาไม่ เนื่องจากยังคงมีฝ่ายที่บุกรุกที่ดินสวนป่าเมตตาธรรมอย่างต่อเนื่อง

              อย่างไรก็ตาม ท่านก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมให้เป็นสีเขียวขึ้นมาใหม่ ซึ่งท่านและคณะสงฆ์อำเภอฝาง แม่อาย ไชยปราการ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน และนักเรียนนักศึกษา ได้มาร่วมกันปลูกป่า ๘ ปีติดต่อกันแล้ว แต่กระนั้น ในปีนี้พวกบุกรุกสวนป่าผืนนี้ ยังเข้ามาปิดกั้นทางเข้าออกไม่ให้ผ่านเข้าไปทำกิจกรรมได้อีก

              "และเมื่ออาตมานำอาสาสมัครไปสำรวจความเสียหายของการทำลายต้นไม้ โดยการเชิญพวกเขาไปคุยที่สถานีตำรวจ ก็กลับถูกแจ้งความดำเนินคดี ว่าบุกรุกเสียเอง" พระกิตติศักดิ์ ผู้ปกป้องป่า เล่าถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

              "สำหรับความร่วมมือระหว่างคณะสงฆ์ หน่วยงานราชการ พ่อค้า ประชาชน และเยาวชน นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนเด็กๆ ในชุมชน ที่ดำเนินการปลูกป่ามาอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นเสมือนตัวชี้วัดความยั่งยืนของผืนป่า ทั้งที่มีอยู่เดิม และที่จะฟื้นฟู หรือปลูกขึ้นใหม่ เพราะหากทุกภาคส่วนไม่ได้เห็นพ้องว่าผืนป่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพวกเขา โดยมีสัมมาทิฏฐิว่าผืนป่ามีความจำเป็นต่อความอยู่รอด ของพวกเขาในอนาคต คนเหล่านี้นี่เอง ที่จะมีส่วนในการหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากป่า หรือถึงกับทำลายผืนป่าเสียเอง ดังที่ปรากฏอยู่ในข่าวสารให้เห็น หรือให้รับรู้อยู่แทบทุกวัน"
กับหน้าที่ของพระที่ต้องยืนหยัดอยู่ในพื้นที่ท่ามกลางผลประโยชน์ที่มองไม่เห็น ท่านอยู่อย่างไร

              ท่านตอบว่า พวกเราที่อยู่ที่นี่ภาวนาด้วยการเรียนรู้ความจริงจากธรรมะและธรรมชาติ ฝ่าข้ามทุกอุปสรรคด้วยสติ ด้วยปัญญาและเมตตา พวกเรากำลังภาวนาด้วยการเอาชีวิตเข้าเสี่ยง เอาชีวิตเข้าแลก ในสถานการณ์ที่เป็นจริง เพราะชีวิต และสิ่งที่ชีวิตมีส่วนเกี่ยวข้องกันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ถ้าเข้าใจ หรือพยายามเข้าใจเกี่ยวกับเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

              "แล้วเราจะเห็นในสิ่งที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด ซึ่งในความจริงนั้นไม่มี 'ตัวตน' ที่จะเอาไว้รองรับความทุกข์ได้เลย แต่ถ้ายังทำไม่ได้ ก็ขอให้ถือเป็นข้อสอบ หรือแบบฝึกหัด ที่จะนำมาสอบทานตัวเอง สอบผ่านบ้าง สอบไม่ผ่านบ้าง แล้วเก็บเอาไว้วิเคราะห์ เพื่อทำข้อสอบใหม่ๆ ต่อไป"

              การทอดผ้าป่าพันธุ์ไม้ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พระสุพจน์ สุวโจ จึงเกิดขึ้นทุกปี ร่วมกับคณะสงฆ์และชุมชน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนจะได้เข้ามาร่วมกันเรียนรู้ว่า ผืนป่าแห่งนี้คือต้นธารของลมหายใจที่ให้พลังแก่ทุกชีวิตไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น เพราะหากไม่มีต้นไม้ เราก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน และนี่คือเหตุปัจจัยอันเป็นทางรอดเดียวของสรรพชีวิตที่มากกว่าการปลูกต้นไม้คือการปลูกใจมนุษย์ให้เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างธรรมชาติกับตัวเราอย่างแยกไม่ออก

              ขอเชิญชวนปิยมิตร ร่วมทอดผ้าป่าพันธุ์ไม้ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ พระสุพจน์ สุวโจ ในวันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ สถานปฏิบัติธรรม 'สวนเมตตาธรรม' อ.ฝาง จ. เชียงใหม่ โทร. ๐๘-๔๓๕๘-๐๘๐๐