พระเครื่อง

พระสมเด็จองค์เสี่ยหน่ำสมบัติผลัดกันชม

พระสมเด็จองค์เสี่ยหน่ำสมบัติผลัดกันชม

16 เม.ย. 2556

พระสมเด็จองค์เสี่ยหน่ำสมบัติผลัดกันชมและพระสมเด็จผ่านมือมากที่สุด : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

 

               การเช่าการขายพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ที่ผ่านมา ที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแถวหน้าเช่น 'องค์เสี่ยหน่ำ' อย่าง 'องค์ลุงพุฒ' 'องค์ขุนศรี' 'องค์เล่าปี่' 'องค์กวนอู' 'องค์บุญส่ง' 'องค์เจ๊แจ๊ว' 'องค์เจ๊องุ่น' 'องค์ครูเอื้อ' 'องค์เสี่ยดม' และ 'องค์มนตรี' ล้วนมีการเช่าการขายกันองค์ละหลายสิบล้านบาททั้งสิ้น โดยเฉพาะ 'องค์มนตรี' ซึ่งนายมนตรี พงษ์พานิช นักการเมืองชื่อดังในอดีตได้ครอบครอง เป็นพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ และพิมพ์ทรงเจดีย์ทั้งสององค์ เช่ากันเกือบ ๕๐ ล้านบาท แต่ก็เป็นที่ทราบกันในวงการพระเครื่องเท่านั้น

               เมื่อหลายปีก่อน ความโด่งดังของ 'พระสมเด็จ' วัดระฆังโฆสิตาราม ก็ได้รับการถามไถ่ถึงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ สืบเนื่องจากบริษัท บางกอก อ๊อกชั่น เฮาส์ จำกัด ได้เปิดการประมูลพระเครื่องและผลงานศิลปะของศิลปินชื่อดังในเมืองไทย ณ ห้องนิทรรศการชั้น ๔ เดอะ สีลม แกลเลอเรีย ย่านสีลม ไฮไลท์ของการประมูลอยู่ที่ พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ ที่เรียกกันว่า 'องค์เสี่ยหน่ำ' หรือ นายก๊อนหน่ำ แซ่ใช้ ที่เปิดราคาประมูลไว้ที่ ๑๘ ล้านบาท

               ทันทีที่มีข่าวการประมูลปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ก่อนหน้าการประมูลนั้น วงการพระเครื่องเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ 'องค์เสี่ยหน่ำ' อย่างกว้างขวางว่า พระสมเด็จองค์นี้มีความเป็นมาเช่นใดกันแน่ เป็นองค์ของ 'เสี่ยหน่ำ' จริงหรือ บ้างก็ว่าพระองค์นี้เคยอยู่ในความครอบครองของคนตระกูล 'ชินวัตร' บ้างก็ว่าเคยอยู่ในความครอบครองของ หม่อมเจ้าภาคิไนย ก่อนจะตกมาอยู่ที่ คุณฉลี ยงสุนทร อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำฮ่องกง และเปลี่ยนมือไปอีกหลายคน สืบค้นกันถึงที่มาของพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ 'องค์เสี่ยหน่ำ' ก็พบว่า เดินทางผ่านมาหลาย 'มือ' ทีเดียว ก่อนจะมาถึงการประมูล

               อ.ราม วัชรประดิษฐ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์พุทธศิลป์ และเจ้าของ "www.aj-ram.com " อธิบายให้ฟังว่า ได้กล่าวถึงที่มาของพระสมเด็จองค์นี้ว่า "พระสมเด็จองค์ที่เปิดประมูลนี้ ตนได้ศึกษารายละเอียดและติดตามมานาน พระองค์นี้เป็นชนิดที่เรียกกันว่า พิมพ์ใหญ่อกตัววี ด้านหลังเป็นสังขยา ถ้าจำไม่ผิดคิดว่ามุมบนของด้านหลังมีรอยมองเห็นเนื้อในขององค์พระเล็กน้อย

               สมัยก่อนในช่วงแรกๆ อยู่กับนายก๊อนหน่ำ แซ่ใช้ ไปได้มาจากหม่อมเจ้าภาคิไนย ซึ่งเป็นนักสะสมรุ่นเก่า คนในวงการจึงเรียกว่า 'องค์หม่อมเจ้าภาคิไนย' บ้าง 'องค์เสี่ยหน่ำ' บ้าง ต่อมาเสี่ยหน่ำได้ขายให้คุณฉลี ยงสุนทร หลังจากนั้นก็มีเจ้าของร้านขายอาวุธปืนขอชมต่อจากคุณฉลี แต่การเจรจาไม่จบ หลังนำเข้าส่งในงานประกวดพระครั้งสำคัญคือ งานศรีนคร เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ พร้อมคว้ารางวัลที่ ๑ ไปแล้ว คนในตระกูล 'นิมมานเหมินท์' ที่เรียกกันว่า 'คุณติ่ง' ได้เช่าไปในราคาสามแสนบาท พระสมเด็จองค์นี้ต่อมาก็มาอยู่กับคุณนิยม อสุนี ณ อยุธยา ภายหลังไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของนำมาประมูลในงานนี้"
เมื่อครั้งเสี่ย “ก๊อนหนํ่า” มีชีวิตอยู่ท่านผู้นี้ได้ชื่อว่า เป็นนักนิยมสะสมพระสมเด็จยุคเริ่มแรก รุ่นเดียวกับ คุณเฉลียง สุนทร, คุณบุญยงค์ นิ่มสมบุญ กล่าวกันว่า พระสมเด็จทุกองค์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบัน ล้วนเคยเป็นพระที่อยู่ในครอบครองของทั้งสามท่านนี้มาแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะ “เสี่ยก๊อนหนํ่า” ได้ชื่อว่ามีพระสมเด็จผ่านมือมากที่สุด และพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่องค์นี้เป็นองค์ที่รักและหวงที่สุดมีผู้ติดต่อขอซื้อมากรายแต่ไม่สำเร็จทำให้นักนิยมพระสมเด็จยิ่งกล่าวขานถึงกันมากในนามองค์ “เสี่ยหนํ่า”

               จนกระทั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน หลังจาก “เสี่ยก๊อนหนํ่า” เสียชีวิตไปจึงมีผู้นำพระสมเด็จองค์นี้เข้าสู่วงการโดยวิธีประมูลขาย ซึ่งมีน้องชายอดีตนายกฯ ที่มีใจรักพระเครื่องประมูลได้ไปในราคา ๒๘ ล้านบาท เป็นข่าวดังขนาด นสพ.การเมืองรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง ต้องสร้างเซอร์ไพรส์บนแผงหนังสือ นำภาพพระสมเด็จองค์นี้มาขึ้นเป็นภาพปกพร้อมบอกราคากำกับไว้ แทนรูปหน้านักการเมืองเป็นครั้งแรก หลังจากนั้น ข่าวคราวพระสมเด็จก็เงียบหายไปอีกครั้ง ระยะหนึ่งจึงมีข่าวว่าพระเปลี่ยนมือไปอยู่กับ “เสี่ยอู๋” นักธุรกิจไทยที่ไปประสบความสำเร็จอยู่ในพม่า แล้วจู่ๆ เมื่อปีกลายจึงมีข่าวว่าพระสมเด็จองค์นี้ถูกซื้อกลับอยู่เมืองไทยโดย “นายใหญ่” แห่งอาณาจักรคิงเพาเวอร์ที่ชื่อ วิชัย รักศรีอักษร ในราคาที่เจ้าตัวบอกว่าให้กำไรไปนิดหน่อย

               "การเช่าการขายพระสมเด็จให้มีราคาแพงเช่นนี้นั้น มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่มีพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามไว้ในความครอบครอง มิใช่จะสามารถขายได้ราคาสูงเสมอไป ผู้ขายพระสมเด็จได้ราคาดีจึงมักเป็นเซียนในระดับมีชื่อเสียงเป็นเครื่องการันตี เนื่องเพราะนักสะสมพระเครื่องตัวจริงที่น้อยคนนักจะดูพระเป็นต้องอาศัยสายตาเซียนที่ไว้วางใจให้เป็นตาส่องให้ ช่วยดูตัดสินใจ ชาวบ้านทั่วๆ ไป ขายได้ก็ในราคา เซียนซื้อต่ำกว่าที่ขายให้ผู้เก็บสะสมตัวจริง อย่างแน่นอน และต้องทำใจ เพราะไม่มีทางที่เข้าถึงตัวคนเก็บตัวจริงได้" อ.รามกล่าว


ไตรภาคี-เบญจภาคี


               นายอรรถภูมิ บุญเกียรติ ผู้อำนวยการสถาบันโบราณศิลป์หรือ "เสี่ยติ" บอกว่า พ.อ.(พิเศษ) ประจน กิตติประวัติ อดีตนายทหารประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด หรือ ตรียัมปวาย  ได้เขียนถึงพระสมเด็จ วัดระฆังโฆสิตาราม ประกายอันเจิดจ้าจึงทอแสงระยิบระยับแก่พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม จนมีค่านิยมกันในหลักพันบาท และทะยานเข้าสู่หลักล้านในปัจจุบันนี้

               ตรียัมปวาย ได้จัดทำเนียบพระเครื่องชุดเบญจภาคี ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ โดยเมื่อแรกเริ่มยังคงเป็นเพียง ชุดไตรภาคี คือ มีเพียง ๓ องค์ เท่านั้น ประกอบด้วย 'พระสมเด็จ' วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นองค์ประธาน ซ้ายขวาเป็น 'พระนางพญา' พิษณุโลก และ 'พระรอด' ลำพูน ไม่นานจากปีนั้นจึงได้ผนวก 'พระกำแพงซุ้มกอ' กำแพงเพชร และ 'พระผงสุพรรณ' สุพรรณบุรี เข้าเป็นชุด 'เบญจภาคี' สุดยอดปรารถนาของนักสะสมพระเครื่องทั้งหลาย

               ทั้งนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปในครั้งนั้น พระเครื่องที่ได้รับความนิยมชมชอบมากเป็นพิเศษแล้ว คือ พระเครื่องที่มีพุทธคุณในด้าน 'คงกระพันชาตรี' ซึ่งการจัดทำทำเนียบ 'เบญจภาคี' นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดความนิยมพระเครื่องทั้ง 5 องค์ ในชุดดังกล่าว อันล้วนเป็นพระเครื่องที่มีราคาการเช่าที่สูงๆ ทั้งสิ้น ยิ่งเมื่อ พ.อ.(พิเศษ) ประจน กิตติประวัติ จัดให้พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม เป็น 'จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง' ความนิยมใน 'พระสมเด็จ' ก็ทะยานสู่แถวหน้าของพระเครื่องเมืองไทย

               เสี่ยติ ยังบอกด้วยว่า พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เป็นผู้สร้างขึ้น กล่าวกันว่าท่านเริ่มสร้างขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๙ ภายหลังจากโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นพระสมเด็จพุฒาจารย์ จึงเรียกขานพระเครื่องที่สร้างขึ้นว่า 'พระสมเด็จ' และได้สร้างเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.๒๔๑๕ โดยได้แจกจ่ายแก่บรรดาญาติโยมที่มาเยี่ยมเยียน และเมื่อครั้งออกบิณฑบาตในตอนเช้า ครั้นหมดก็สร้างใหม่ ปลุกเสกด้วยคาถาชินบัญชรที่ท่านได้มาจากเมืองกำแพงเพชร ผู้แกะพิมพ์ถวาย คือ หลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างทองในราชสำนัก