พระเครื่อง

'พระแก้วอมรกต'นามเดิมพระแก้วมรกต

'พระแก้วอมรกต'นามเดิมพระแก้วมรกต

29 มี.ค. 2556

เปิดตัวหนังสือ'230ปีศรีรัตนโกสินทร์' พบ'พระแก้วอมรกต'นามเดิมพระแก้วมรกต : สำราญ สมพงษ์รายงาน

 

               การประชุมวิชาการและเปิดตัวหนังสือ "230ปีศรีรัตนโกสินทร์ : มรดกความทรงจำกรุงเทพมหานคร" วันที่ 29 มี.ค.2556 ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ภายใต้การสนับสนุนของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร สกว. และธนาคารไทยพาณิชย์  เริ่มจาก ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร เมธีวิจัยอาวุโส สกว. หัวหน้าโครงการวิจัยฯกล่าวรายงานถึงความเป็นมา หลังจากนั้นศาสตราจารย์ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ กล่าวเปิดงาน

               ประเด็นที่น่าสนใจของการประชุมทางวิชาการครั้งนี้ก็คือว่า เนื้อหาในหนังสือ  "230ปีศรีรัตนโกสินทร์ : มรดกความทรงจำกรุงเทพมหานคร" ที่บทวิจารณ์โดยนายเจตนา นาควัชระได้ระบุว่า หนังสือเล่มนี้มาจากผลงานวิจัย การค้นพบใหม่ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่กลุ่มผู้เขียนนำมาเสนอ จะขอยกเกร็ดเล็กๆ ที่ว่าด้วย "พระแก้วมรกต" ซึ่งเราเข้าใจผิดมาตลอดว่าเป็นคำที่บอกความว่าสร้างด้วยมรกตหรือหินสีเขียว และก็คงมีผู้มั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์จำนวนไม่น้อยพยายามที่จะแข่งขันกับพระไชยเชษฐาแห่งอาณาจักรล้านนาและล้านช้างในการหาพระพุทธรูปที่ทำด้วยหินสีเขียวมาครอบครอง

               ความจริงปรากฏว่าคำว่า "มรกต" ในที่นี้เป็นการออกเสียงผิดพลาด ซึ่งทำให้คำเดิมกร่อนไป นามที่แท้จริงคือ "พระแก้วอมรกต"  ซึ่งแปลว่า "เทวดาสร้าง" ตรงตามตำนานที่เล่าขานกันมา เมื่อพระคู่บ้านคู่เมืองเป็นสิ่งที่เทวดาสร้าง การที่กรุงรัตนโกสินทร์มีพระอินทร์เป็นเทพประจำเมืองก็คงจะเป็นไปตามคติความเชื่อที่พ้องกัน สมแล้วที่เป็น "อมรรัตนโกสินทร์"

               เมื่อพูดถึงพระแก้วมรกตแล้วก็คงจะอดกล่าวมิได้ว่า ไม่ว่าประวัติศาสตร์ของประเทศหรือเมืองใดๆก็ย่อมจะต้องมีบางส่วนซึ่งอาจทำให้นักประวัติศาสตร์ต้องใช้ศิลปะทางอักษรศาสตร์ในการเขียนพรรณนาความเป็นจริง คือเขียนในเชิงที่จะสมานแผลมากกว่าเปิดแผล กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า "ประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นอันตราย"

               เนื้อหาที่ขยายความ "พระแก้วมรกต" นามที่แท้จริงคือ "พระแก้วอมรกต"นั้น มีเนื้อหาภายในหนังสือช่วงที่กล่าวถึงพระราชมรดกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯที่ 2 พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต) ที่ระบุว่า มีตำนานเล่าเรื่องเก่าแก่มาแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างน้อย เรื่องเล่าปรากฏใน "อมรตพุทธรูปนิทาน" (เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพุทธรูปอมรกต) ที่พระเถระพม่านามว่า "อริยวงส์" เป็นผู้แต่ง

               ในเรื่องนั้นเล่าว่า พระมหานาคเสนต้องการสร้างพระพุทธรูปแก้ว ร้อนไปถึงพระอินทร์ พระอินทร์และพระวิศณุกรรมไปเอาแก้วมณีโชติที่กุมภัณฑ์ทั้งหลายรักษาอยู่ที่เขาเวบุลบรรพต แต่กุมภัณฑ์บอกว่า แก้วดังกล่าวมีไว้สำหรับพระบรมมหาจักรพรรดิ์จึงถวายแก้วมรกตแทน พระอินทร์สั่งให้วิศณุกรรมทรงสร้างพระพุทธรูปจากแก้วมรกตดังกล่าว เมื่อสร้างแล้วจึงได้นามว่า "พระแก้วอมรกต" หมายถึง " พระแก้วอันเทวดาสร้าง" เมื่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ความรู้เรื่องนี้สูญหายไป แทนที่จะเรียกถูกต้องว่า"พระแก้วอมรกต" กลับเรียกว่า "พระแก้วมรกต" อย่างทุกวันนี้

               ทั้งนี้ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้กล่าวในการบรรยายประกอบมัลติมีเดีย หัวข้อ "ศรีอยุธยาในศรีรัตนโกสินทร์" ว่า การนำพระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่กรุงเทพฯในช่วงสถาปนาเมืองโดยพระบาทสมเด็จระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯนั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นว่ากรุงเทพฯแห่งนี้เป็นเมืองที่เทวดาสร้าง เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา

               "คำว่า "พระแก้วอมรกต" นั้นตามเอกสารโบราณได้ระบุไว้ชัดเจน ส่วนกร่อนมาเป็น "พระแก้วมรกต" เมื่อใดนั้นไม่สามารถระบุได้ และที่ระบุไว้ในหนังสือครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบที่มาที่ไปและความหมายที่ถูกต้อง"  ดร.เกรียงไกร กล่าว

              ช่วงบ่ายนายเจตนาบรรยายเรื่อง "กรุงเทพมหานครจากมุมมองของเด็กเมืองกรุง" ได้ฉายภาพความงานของกรุงเทพฯในอดีตพร้อมกับเปิดเพลงกรุงเทพฯราตรีของสุนทราภรณ์ประกอบ พร้อมกับมองย้อนมาถึงภาพกรุงเทพฯในปัจจุบันในยามค่ำคืนถนนราชดำเนินซึ่งที่อาศัยของคนจรจัดและผู้หญิงหากินที่ย้ายมาจากสนามหลวง

             และต่อจากนี้ก็มีการอภิปรายเรื่อง"อนารยธรรมไทยกับวันต่อไปของกรุงเทพมหานคร" โดยมีดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯกทม.ร่วมแสดงความเห็นด้วยว่า ควรจะร่วมกันคิดที่จะอนุรักษ์สิ่งสวยงามในอดีตของกรุงเทพฯในอดีตให้คงอยู่และป้องกันสิ่งปลูกสร้างที่รุกคืบเข้ามาได้อย่างไร และรถไฟความเร็วสูงที่จะมีนั้นจะต้องช่วยให้คนกรุงเทพฯให้กระจายออกไปไม่ใช่ให้คนเข้ามากระจุกอยู่

            "และเรื่องอาหารนั้นก็ควรที่จะอนุรักษ์อาหารไทยๆไว้ ร่วมถึงห้างสรรพสิ้นค้ารู้สึกว่ามากเกินไปแล้ว กทม.ควรที่จะทำผังเมืองให้สำเร็จเป็นรูปธรรม" ดร.พิจิตต กล่าวและว่า

            ที่กล่าวมานี้ก็เีีีพียงบ่นเท่านั้น แต่ผู้ที่จะดำเนินการให้สำเร็จได้นั้นก็คือผู้ว่าฯกทม.ที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งใหม่อีก โดยมีสื่อมวลชนเป็นตัวกระตุ้นให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญ

             ข้อมูลดังกล่าวคงจะเป็นข้อมูลให้กับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.สมัยที่ 2 ที่จะพัฒนาให้กรุงเทพฯเป็นเมืองฟ้าอมรดั่งในอดีตได้เป็นอย่างดี