
พระร่วงยืนหลังกาบหมากกรุศรีโสฬส
พระร่วงยืน หลังกาบหมาก กรุศรีโสฬส จ.สิงห์บุรี : สาระสังเขปพระเนื้อชิน โดยชาติ วิศิษฏ์สรอรรถ
ถ้าจะกล่าวถึง พระร่วงยืน เนื้อชินตะกั่วสนิมแดง ส่วนมากมักจะนึกถึง พระร่วงยืน หลังรางปืน จ.สุโขทัย และ พระร่วงยืน หลังลายผ้าของ จ.ลพบุรี หรือไม่ก็คิดเลยไปถึง พระร่วงยืน หลังกาบหมาก กรุเขาถ้ำพุพระ จ.กาญจนบุรี บางท่านอาจจะลืมนึกถึง พระร่วงยืน ของ จ.สิงห์บุรี ยิ่งถ้าได้เห็นพระองค์จริง และได้สัมผัสจับต้ององค์พระด้วยแล้ว จะทำให้นึกถึงแต่เพียง พระร่วงยืน หลังรางปืน กับ พระร่วงยืน หลังลายผ้า เท่านั้น เนื่องจากมีพุทธศิลป์คล้ายคลึงกันมาก
แท้จริงแล้ว เมืองสิงห์บุรี ก็มีพระกรุ พระเก่า เนื้อชินตะกั่วสนิมแดงอยู่หลายกรุ และพระส่วนมากที่พบก็เป็นพระในยุคสมัยลพบุรีแทบทั้งสิ้น มีบางพิมพ์เป็นพระที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เช่น พระร่วงนั่งซุ้มนครโกษา กรุวัดสว่างอารมณ์ ที่ออกมาปรากฏโฉมสู่วงการพระ จนเป็นที่ยอมรับกันว่า พระกรุเมืองสิงห์บุรีพิมพ์นี้ เป็นเนื้อพระสนิมแดงที่มีความเข้มสดงดงาม
โดยเฉพาะพระเนื้อชินตะกั่วสนิมแดงที่เป็นประเภทพระร่วงยืนของเมืองนี้ เป็นพระพิมพ์หนึ่งที่นักสะสมพระเนื้อชินจัดค่านิยมให้เป็นเพชรเม็ดงามของวงการพระ คือ พระร่วงยืน หลังกาบหมาก กรุศรีโสฬส พระร่วงยืน หลังกาบหมาก กรุศรีโสฬส เป็นพระสนิมแดงที่ขุดพบบริเวณอำเภอเมืองสิงห์บุรี เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๒๐ ในครั้งนั้นมีผู้ว่าจ้างรถขุดดินถมที่ในท้องนา สถานที่ดังกล่าว สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณวัดร้างเก่า เนื่องจากมีซากเจดีย์เก่าอยู่องค์หนึ่งใกล้ๆ บริเวณที่รถขุดดินขุดไปพบกรุพระโดยบังเอิญ สอบถามชาวบ้านในแถบนั้นได้ความว่า บริเวณนี้เป็นวัดร้างมานานแล้ว ชื่อว่า วัดศรีโสฬส และในแถบนั้นยังมีวัดร้างอีกหลายวัด เช่น วัดโคกคูณ วัดเต่าดำ วัดนาค เป็นต้น
ในการขุดพบพระกรุครั้งนี้ได้ พระร่วงยืน ศิลปะแบบลพบุรี คล้ายกับ พระร่วงยืน หลังลายผ้า ของเมืองลพบุรีมาก เป็นพระเนื้อชินตะกั่วสนิมแดง มีไขขาวปกคลุมทั่วองค์พระ เมื่อล้างเอาไขขาวออกแล้ว เนื้อสนิมแดงจะเข้มจัดมาก โดยจับทั่วองค์พระ
ส่วนด้านหลังจะเป็นแบบ กาบหมาก ทุกองค์ พระที่พบมี ๒ ขนาดพิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ กับ พิมพ์เล็ก จำนวนพระที่พบองค์ที่สมบูรณ์ ประมาณ ๕๐ องค์เท่านั้น มีขนาดใกล้เคียงกับ พระร่วงยืน หลังรางปืน เมืองสุโขทัย คือ สูงประมาณ ๗.๕ ซม. กว้างประมาณ ๒.๕ ซม.ผู้ที่ได้พระครั้งแรกไม่ทราบว่าเป็นพระอะไร โดยได้ไปคนละองค์สององค์ เอาไปปล่อยให้เช่าในตัวเมืองสิงห์บุรี องค์ละไม่กี่ร้อยบาท ๒ วันต่อมา บรรดาเซียนพระทั้งหลายต่างออกหาเช่ากันจ้าละหวั่น ให้ราคาองค์ละหลายพันจนถึงหมื่นบาท นี่คือราคาพระในสมัยนั้น ส่วนปัจจุบันสนนราคาอยู่ที่หลักแสนขึ้นไป แม้จะมีเงินมากแต่ก็หาใช่ว่าจะซื้อหามาครอบครองบูชาได้ง่ายๆ ทั้งนี้ ต้องสุดแล้วแต่วาสนาบารมี เพราะโอกาสที่จะได้พระแท้องค์จริงมาขึ้นคอบูชานั้นยากมากๆ (ขอขอบพระคุณเซียนพระรุ่นใหญ่ “เฮียตี๋เหล้า ท่าพระจันทร์” คุณศุภชัย เรืองสรรงามสิริ ที่ได้กรุณามอบภาพ “พระร่วงยืน หลังกาบหมาก” กรุศรีโสฬส จ.สิงห์บุรี องค์นี้มาให้ชมเป็นวิทยาทาน)
พระร่วงหลังกาบหมาก กรุศรีโสฬส จ.สิงห์บุรี เป็นพระศิลปะลพบุรี สนิมขององค์ออกสีแดงจัดมาก บ่งบอกถึงอายุความเก่าได้เป็นอย่างดี ส่วนด้านหลังนั้นเป็นเอกลักษณ์ของพระกรุนี้ คือ เป็นแบบ หลังกาบหมาก คล้ายๆ กับด้านหลังของ พระร่วงยืน หลังกาบหมาก กรุเขาถ้ำพุพระ จ.กาญจนบุรี การที่พบพระศิลปะแบบลพบุรี ที่เมืองสิงห์บุรีมากมายหลายกรุ ก็เพราะเมืองสิงห์บุรีกับเมืองลพบุรี มีอาณาเขตติดต่อกัน ในสมัยโบราณคงมีการไปมาหาสู่ทำมาค้าขายกันเป็นประจำ พระร่วงยืน หลังกาบหมาก กรุศรีโสฬส เป็นการเรียกชื่อตามด้านหลังขององค์พระที่มีลักษณะคล้ายกับ ลายกาบหมาก ซึ่งก็คือ ลายแผ่นไม้ ที่ใช้กดเนื้อตะกั่วที่หลอมเหลวแล้วให้กระจายไปตามแม่พิมพ์พระอย่างทั่วถึง เพื่อให้องค์พระมีความเรียบร้อยและสวยงามคมชัดลึกมากขึ้น ทั้งนี้เพราะการสร้างพระพิมพ์ด้วยเนื้อชินตะกั่ว จะต้องใช้ความร้อนหลอมให้ตะกั่วเป็นเนื้อเหลวเพื่อเทลงแม่พิมพ์ และเพื่อให้เนื้อตะกั่วเหลวกระจายไปทุกซอกทุกมุมแม่พิมพ์พระได้อย่างทั่วถึง จึงต้องอาศัยแรงกดจากด้านหลัง โดยใช้แผ่นไม้ที่มีผิวค่อนข้างหยาบกดแทน เพราะไม่สามารถใช้นิ้วมือกดแบบพิมพ์ด้านหลังได้ เพราะเนื้อตะกั่วเหลวมีความร้อนสูง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ด้านหลังองค์พระมีลักษณะเป็นลายไม้ ที่คล้ายกับ ลายกาบหมาก
ในทุกวันนี้ แทบไม่ได้พบเห็น พระร่วงยืน กรุศรีโสฬส กันเลย เนื่องจากพระที่ขุดพบมีจำนวนน้อยมาก และถูกเก็บเงียบอยู่ในกรุของนักสะสมกันจนหมด แม้ว่าราคาเช่าบูชาจะสูงถึงหลักหลายๆ แสนบาท แต่เจ้าของพระก็ยังหวงแหน ไม่ยอมปล่อยออกจากรัง เพราะเชื่อมั่นในพุทธคุณที่เทียบชั้นได้เท่ากับ พระร่วงยืน หลังรางปืน และ พระร่วงยืน หลังลายผ้า นั่นเอง