
คนถึงฆาต!อย่าลืมตาย!ธรรมะจากพระครูวรคุณประยุต
คนถึงฆาต!อย่าลืมตาย! ธรรมะสะกิดใจจาก...พระครูวรคุณประยุต : เรื่อง/ภาพ โดยไตรเทพ ไกรงู
"จรรยาบรรณหมอดู" หรือ "มารยาทของโหร" เป็นคุณสมบัติสำคัญ เบื้องต้นและพึงตระหนักต่อจรรยาบรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักพยากรณ์หรือโหรศึกษาและยึดถือเป็นข้อปฏิบัติ ใช้เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพ อาทิ มีกลอนสอนใจแต่ครั้งโบราณว่า "ทายสามีภรรยาให้ราคี ทายชีวิตวิบัติตัดชันษา ทายคุณโทษทารกทาริกา เรียนโหราครูห้ามการทำนาย"
อย่างไรก็ตามหากโหรเห็นหรือเจ้าชะตาถาม แล้วพบว่าดวงกำลังถึงฆาต อยู่ในเคราะห์ อย่าไปบอกโต้งๆ ว่า "ดวงถึงฆาตนะ ชะตาขาดแล้ว" ให้บอกเป็นแนวทาง "การทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ การอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เพราะจะส่งผลดีต่อเจ้าชะตา"
หลักเกณฑ์การพิจารณา "ดวงคนฆาต หรือ ตกมรณะกรรม" ๑.มีบาปเคราะห์ร้ายมาทับลัคนา หรือดาวเจ้าเรือนลัคน์ ยิ่งมากดวงเท่าไร ยิ่งให้โทษมากเท่านั้น และถ้าหากมาจากเรือนมรณะด้วยแล้ว ต้องระวังให้มาก ๒.มีบาปเคราะห์ร้ายมาทำมุมกากบาท เล็งปลายหอก ห้อมล้อมลัคนาหรือดาวเจ้าเรือนลัคนา ยิ่งมากดวงเท่าไรยิ่งให้โทษมากเท่านั้น ๓.ลัคนาจร หรือดาวเจ้าเรือนลัคนา จรอยู่ในภพมรณะ หรือจรร่วมกับดาวมรณะในพื้นดวง
๔.ดาวอังคาร ซึ่งเป็นดาวฆาต มักจะทับลัคน์ จรร่วมกับดาวเจ้าเรือนลัคน์ หรือทำมุมให้โทษแก่ลัคนา หรือดาวเจ้าเรือนลัคน์ ๕.ดาวเสวยอายุ เสวยแทรก มักจะเป็นดาวบาปเคราะห์ หรือไม่ก็เป็นดาวที่เป็นเจ้าเรือนภพทุสถานะ หรือดาวลอยในภพทุสถานะ (อริ มรณะ วินาศนะ) ๖.ผู้ที่อายุสั้น ตายด้วยอุบัติเหตุ หรือฆ่าตัวตาย ในพื้นดวง ดาวเจ้าเรือนลัคน์มักจะอยู่ในภพมรณะ และมักจะมีดาวมรณะ หรือดาวอังคาร (๓) มาสัมพันธ์กับลัคนา
๗.หากอยากรู้ว่าจะตายในวัยใด ให้พิจารณาดาวครองวัยในพื้นดวงว่า สัมพันธ์กับดาวเจ้าเรือนมรณะ หรือดาวอังคาร มากน้อยเพียงใดหรือไม่ ไปอยู่ในภพมรณะหรือไม่ หรือถูกดาวบาปเคราะห์เบียนให้โทษมากน้อยเพียงใด หากกุมดาวมรณะ จรอยู่ในภพมรณะ หรือถูกเบียนมากๆ จากบาปเคราะห์ ถือว่าวัยนั้นเป็นวัยตกอับ เป็นวัยเคราะห์ร้าย ต้องระวัง และ ๘.ในดวงที่ชะตาถึงฆาต ส่วนมากดาวสำคัญๆ เช่น จันทร์ (๒) (โหรโบราณใช้แทนลัคนา) พฤหัสบดี (๕) หมายถึงสุขภาพร่างกาย การมีชีวิต (ภาษาบาลีเรียก ชีโว) และอาทิตย์ (๑) ดาวแห่งแสงสว่าง ธาตุไฟ ตัวก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิต จะถูกบาปเคราะห์เบียนอย่างมากทุกดวง
พระครูวรคุณประยุต หรือหลวงพ่อพิพัฒน์มงคล คุณยุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดพิพัฒน์มงคล เจ้าคณะอำเภอทุ่งเสลี่ยม ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย บอกว่า เมื่อพูดถึงความตาย คนจำนวนมากคิดว่าเป็นเรื่องอัปมงคล แต่ความจริงแล้วความตายกับการมีชีวิตอยู่เดินขนานเกือบจะเป็นเส้นเดียวกัน ทุกครั้งที่เปลี่ยน พ.ศ.ใหม่ เราฉลองกันชนิดที่เรียกว่า "ลืมตาย" ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เราใกล้ความตายเพิ่มขึ้นอีกปี
สรรพสิ่งในโลกนี้ ทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน ล้วนมีความตายอยู่เบื้องหน้า จะมองเห็นชัดเลยว่าทุกย่างก้าวเข้าไปสู่ความตาย มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ เมื่อยังอยู่ในวัยเด็ก อยากให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่จะคิดไหมว่า นั่นแหละคือการก้าวเข้าสู่จุดสุดท้ายคือวัยชรา และแตกดับสลาย ทอดร่างกายสังขารคืนธรรมชาติไปในที่สุดไม่เหลือแม้แต่เสื้อผ้าติดตัว
ทุกวันนี้คนเราดิ้นรนทำมาหากินตามวิถีชีวิตของตน แย่งชิงกัน ทำร้ายกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ เพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการมาเป็นของๆตน จะผิดหรือถูกอย่างไรไม่ได้คิด บางคนร่ำรวย กินสิบชาติก็ไม่หมด แต่ก็ยังดิ้นรนแสวงหาอีก เพื่อให้ได้มาให้มากขึ้นเรื่อยๆ คำว่า “ความพอดี” ไม่มีในมนุษย์ผู้มักได้ในปัจจุบัน อันจะนำไปสู่การเห็นแก่ตัว เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ เรียกว่า “ไม่รู้จักพอ” นั่นเอง
เคยคิดบ้างไหมว่า สมบัติของเรามีมากมายแล้ว เราจะครอบครองไปชั่วกาลนาน ไม่แปรเปลี่ยน เคยคิดไหมว่าตนอยู่ได้ไม่เกิน ๑๐๐ ปี หรือมากกว่าร้อยปีนิดหน่อย ก็จะต้องลาจากโลกนี้ไป เราเอาสมบัติที่เรามีอยู่นี้ติดตามเราไปด้วยได้ไหม เราเคยคิดถึงสมบัติในภพภูมิชาติหน้าบ้างไหม คิดหาทางทำสมบัติในชาตินี้ให้ติดตามเราไปในชาติหน้าบ้างไหม
การแสวงหาและดิ้นรนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง ใครอย่าปฏิเสธเลยว่าไม่เป็นทุกข์กับสิ่งที่ตนแสวงหามาได้เหล่านี้ เมื่อได้มาแล้ว หากเราใช้มันไม่เป็นก็ยิ่งเป็นทุกข์เข้าไปใหญ่ หากเราใช้มันเป็น หรือเราสามารถเป็นนายมัน เราสามารถควบคุมมันได้ก็จะเป็นสุข แท้ที่จริงแล้ว ความสุขที่แท้จริงนั้น เราแทบไม่ต้องแสวงหา เพราะความสุขที่แท้จริงมันอยู่ใกล้ตัวเรา อยู่ตรงลมหายใจเข้าออกนั่นเอง หากเรามีความฉลาดในการบริหารลมหายใจแล้วไซร้ ความสุขที่แท้จริงต้องเป็นของเราอย่างแน่นอน ความสุขที่แท้จริงนั้น คือ
๑.มีความยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี และประกอบการงานโดยชอบ ๒.แบ่งปันวัตถุสมบัติทั้งหลายให้แก่ผู้ที่เป็นที่รัก ผู้ที่เป็นที่เคารพนับถือ ๓.บำเพ็ญทานบารมี โดยบริจาคสิ่งของให้เป็นสาธารณกุศล สาธารณประโยชน์ และบำรุงพระศาสนาให้เจริญมั่นคง โดยไม่เดือดร้อน ๔.ทำตนให้เป็นที่รักของลูกหลาน ญาติมิตร ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้เขาเคารพนับถือยกย่องสรรเสริญได้อย่างสนิทใจ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ถ้าลืมความตายเสียแล้ว ชีวิตก็ไร้ค่า เราควรระลึกนึกถึงอยู่ตลอดเวลาว่า สักวันหนึ่งเราจะพบกับ “ความตาย” อย่างแน่นอน
เมื่อคนเข้าวัดก็ถึงธรรม
พระครูวรคุณประยุต บอกว่า จากการนั่งปฏิสัณฐานต้อนรับศรัทธาญาติโยมที่เข้าวัด ได้เห็นสาธุชนเข้าวัดกันอย่างเนืองแน่น ได้เห็นคนหลายจำพวก ทั้งคฤหบดี เศรษฐี พ่อค้า ผู้มั่งมี ผู้ยากจน และอาจมีทั้งโจรผู้ร้ายด้วยก็ได้ อย่างไรเสีย ถือได้ว่าผู้ที่เข้าวัดทำบุญทำกุศล ถวายทาน รักษาศีล เจริญภาวนานี้ ยังดีกว่าผู้ที่ยังหลงมัวเมาอยู่ในอบายมุข วัดก็ไม่เข้า พระเจ้าไม่ไหว้ คนที่เข้าวัด ถึงจะเป็นคนยากดีมีจนหรือผู้ร้าย (ผู้ร้ายใจดำ โจร) ก็ตาม แต่เขาเหล่านั้นยังมีจิตใจเป็นธรรมอยู่บ้าง คนดีคนชั่วที่เข้าวัดมาแล้ว ยังมีโอกาสได้ฟังธรรมะ ได้เห็นพระพุทธรูป ได้เห็นถาวรวัตถุ เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว จิตใจย่อมน้อมไปในทางที่ดี (บุญกุศล) ทำให้เป็นคนคิดดี พูดดี ทำดี ไม่มากก็น้อย
วัดทุกวัด หากมีธรรมะอย่างเดียวก็ไม่อาจนำธรรมะเข้าถึงญาติโยมทุกคนได้ เพราะคนเรานั้นมีระดับปัญญา ระดับความคิดต่างกัน จำต้องมีพิธีกรรมอันเป็นการดึงญาติโยมให้ตั้งอยู่ในคุณงามความดี เช่น การขอพร (คือการตั้งใจจะคิดดี พูดดี ทำดี) เมื่อลงมือคิดดี พูดดี ทำดีแล้ว ผลของการคิดดี พูดดี ทำดีนี้เองจะดลบันดาลให้ญาติโยมมีความสุข การสะเดาะเคราะห์ ก็เป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้ญาติโยมได้ต่อสู้กับปัญหา เมื่อแก้ปัญหาได้ก็จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
"วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนา นี้มีทั้งเปลือกมีทั้งแก่น เปลือกนั้นเปรียบเสมือนพิธีกรรม ส่วนแก่นนั้นเปรียบเหมือนธรรมะเมื่อเข้าวัดมาแล้ว ได้เห็นถาวรวัตถุ พระพุทธรูป พระภิกษุสามเณร ได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นมงคล เมื่อเห็นแล้วมีจิตใจชื่นบาน มีจิตใจเป็นบุญกุศลนี้ ถือได้ว่า ได้ถึงเปลือก ต่อไปเข้าตรงได้ลงมือทำคุณงามความดี ลงมือปฏิบัติธรรมะอย่างจริงจัง คือการถวายทาน รักษาศีล เจริญภาวนา นี่ถือได้ว่าได้ถึงแก่น" พระครูวรคุณประยุตกล่าว
"สรรพสิ่งในโลกนี้ ทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน ล้วนมีความตายอยู่เบื้องหน้า จะมองเห็นชัดว่าเลยว่าทุกย่างก้าวเข้าไปสู่ความตาย มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ เมื่อยังอยู่ในวัยเด็ก อยากให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่จะคิดไหมว่านั่นแหละคือการก้าวเข้าสู่จุดสุดท้ายคือวัยชรา และแตกดับสลาย ทอดร่างกายสังขารคืนธรรมชาติไปในที่สุด"