พระเครื่อง

ตามติดศิษย์ตถาคต'ปั่นเพื่อโลก'

ตามติดศิษย์ตถาคต'ปั่นเพื่อโลก'

13 ธ.ค. 2555

'สังคมต้องการคนรับผิดชอบร่วมกันในทุกส่วน' ตามติดศิษย์ตถาคต'ปั่นเพื่อโลก' : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม เรื่อง เสือออย และนนลนีย์ อึ้งวิวัฒน์กุล

              หากใครสัญจรบนถนนราชดำเนินในบ่ายวันอังคารที่ ๔ ธันวาคมที่ผ่านมาคงต้องประหลาดใจที่เห็นพระภิกษุ ๒ รูปกับแม่ชีอีก ๑ ท่าน กำลังปั่นและนำขบวนจักรยานอีกประมาณ ๓๐๐ คัน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้าไปยังโรงพยาบาลศิริราชอย่างช้าๆ

              ขบวนจักรยานมากมายเกือบ ๓๐๐ คัน โดยมีพระภิกษุและแม่ชีนำขบวนครั้งนี้เป็นการรวมตัวกันของนักปั่นจักรยานที่มาจาก ๔ ทิศ คือ เหนือ ใต้ อีสาน และกลาง เพื่อรณรงค์ให้คนหันมาใช้จักรยานแทนการใช้น้ำมันและก๊าซ ภายใต้โครงการ '๔ ทิศรวมใจไทยเป็นหนึ่งเดียว' เป็นการนัดพบกันของนักปั่นจาก ๔ ภาค ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าก่อนจะมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลศิริราชเพื่อถวายพระพรแด่ในหลวงเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวา ซึ่งปีนี้จัดเป็นครั้งที่ ๓ แล้ว แต่ที่พิเศษกว่าปีอื่นๆ เพราะขบวนจักรยานนำโดยพระภิกษุและแม่ชี

              เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นหากไม่มี คุณสัจจา ขุทรานนท์ ประธานเครือข่ายชุมชนคนใช้จักรยานแห่งชาติเป็นผู้ประสานงานและเป็นผู้คิดโครงการนี้ขึ้นมา

              สำหรับ พระอาจารย์สมบูรณ์ สุมังคโล อายุ ๕๔ พรรษา ๒๗ แห่งวัดป่าลานหินตัด จ.บุรีรัมย์ เราทราบกันดีว่าท่านหันมาใช้จักรยานได้ ๙ ปีแล้ว เนื่องจากต้องไปสอนธรรมะในโรงเรียนที่ห่างไกล ท่านไม่มีรถยนต์และไม่ได้ร่ำรวยเหมือนวัดอื่นๆ ทางเดียวที่สะดวกคือต้องพึ่งตนเอง จักรยานจึงเป็นคำตอบ

              พระอาจารย์สมบูรณ์ให้สัมภาษณ์ว่า “ใช้เวลา ๕ วันกว่าจะมาถึงกรุงเทพฯ จริงๆ แล้วไม่อยากเข้ามาเพราะเสี่ยงกับวิธีคิดที่ไม่เปิดกว้างของญาติโยมที่นี่ เคยมีโยมนิมนต์เหมือนกันแต่ก็ปฏิเสธไป แต่คราวนี้เห็นว่าเป็นการรวมตัวกันของนักปั่นจาก ๔ ภาคซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ หากเราไม่มาก็คงพลาดโอกาสในการพบเจอนักปั่นที่มีอุดมการณ์ต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน รวมทั้งเป็นการปั่นเพื่อถวายพระพรแด่ในหลวงก็เลยยอมเสี่ยงเข้ามา ถึงจะเสี่ยงแต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี ถ้าเราไม่มาก็คงไม่มีวันนี้”

              ท่านเผยถึงความรู้สึกขณะปั่นจักรยานในกรุงให้ฟังว่า รู้สึกดี การปั่นเข้ามาในกรุงเทพฯ ต้องมีสติเต็มร้อย ตอนแรกวิตกกังวล กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวคนประท้วงไม่ยอมรับ

              "พอเอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไร เราตีตนไปก่อนไข้เอง บางคนก็ตาค้าง บางคนพนมมือไหว้ก็มี”

              พระสงฆ์รูปถัดมา หลวงพี่หมู หรือ พระศุภชัย สิริปัญโญ อายุ ๔๐ ปี พรรษา ๑๔ แห่งวัดเชิงผา จ.สุโขทัย หลวงพี่หมูรู้จักพระอาจารย์สมบูรณ์จากการเข้าไปเป็นนักเรียนของกลุ่มเสขิยธรรม รุ่นปี ๒๕๔๐ ท่านกล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อพระอาจารย์สมบูรณ์ว่า “ผมศรัทธาพระที่ทำจริง ท่านจับแล้วไม่ปล่อย พระที่ลงมือทำเพื่อสังคมแล้วมีคำตอบให้สังคมชัดเจนแบบนี้หายาก ผมศรัทธา”

              กับคำถามว่าเหนื่อยไหมกับระยะทาง ๔๕๐ กิโลเมตรกว่าจะมาถึงกรุงเทพฯ หลวงพี่หมูตอบว่า “ทรมานมากกว่า โดนแดดเผาทั้งวัน ผมไม่ได้สวมหมวกกันน็อกเพราะเห็นว่าหมวกมันป้องกันผิวทำให้เกิดความสบาย เราออกธุดงค์ด้วยจักรยานควรจะเรียนรู้ความทุกข์ เราควรเผชิญกับความทุกข์ ไม่หวั่นไหวไปกับความทุกข์ แต่ในที่สุดก็ต้องใส่หมวกเพราะมันทุกข์จนเกินจะทน”

              เมื่อถามถึงความรู้สึกเมื่อตอนปั่นจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังโรงพยาบาลศิริราช หลวงพี่หมูตอบว่า รู้สึกกดดัน ในเมืองใหญ่ๆ ไม่เคยมีวัฒนธรรมให้พระปั่นจักรยาน มันเสี่ยงกับความเข้าใจของชาวพุทธที่นี่

              "ผมรู้สึกกดดันถึง ๓ ครั้งทีเดียว คือ วัดที่เราเข้าไปพัก ลานพระบรมรูป และโรงพยาบาลศิริราช ผมได้ยินเสียงพูดว่า ‘เฮ้ย นั่นพระรึเปล่า ?’ และมีเสียงตอบว่า ‘ไม่ใช่ ๆ’ บางคนก็มองตาค้างด้วยความงง ทำให้ผู้คนมีแต่ความสงสัยไม่ได้คำตอบ ผมอยากสื่อสารว่าสังคมต้องการคนรับผิดชอบร่วมกันในทุกส่วน เช่น การพึ่งตนเอง

              "ทุกวันนี้คนติดเทคโนโลยีกันมากติดสบายกัน การปั่นจักรยานเป็นการทำให้ชาวพุทธหันกลับมาพึ่งตนเอง เราควรพึ่งตนเองในทุกมิติของชีวิต การที่พระออกมาปั่นจักรยานก็เพื่อกระตุกสังคมให้หันกลับมาทบทวนหลักธรรมเรื่องการพึ่งตนเอง ผมจำคำพูดของพระพรหมคุณาภรณ์ได้ว่า ชาวพุทธสูญเสียความสามารถในการพึ่งตนเอง จักรยานเป็นเครื่องมือหนึ่งในการกลับมาพึ่งตนเอง มันคือจิตสำนึก ทุกฝ่ายต้องหันมาดูแลโลก หากพระสงฆ์เราหันมารณรงค์เรื่องจักรยานจะช่วยสังคมได้มาก พระสงฆ์ยังเป็นหนี้บุญคุณโลก หากมีคำถามว่านี่ใช่กิจสงฆ์หรือไม่ ผมตอบได้ทันทีว่านี่แหละเป็นหน้าที่ของสงฆ์โดยตรงเลย”

              นักบวชท่านสุดท้ายเป็นนักบวชหญิงและเป็นสุภาพสตรีคนเดียวในกลุ่มที่ปั่นมาจากภาคอีสาน เธอชื่อ แม่ชีต้อย หรือ แม่ชีสมสวัสดิ์ มหาโคตร อายุ ๓๖ ปี พรรษา ๕ แม่ชีรู้จักพระอาจารย์สมบูรณ์เมื่อปี ๒๕๕๒ โดยเพื่อนแม่ชีแนะนำให้มาจำพรรษาที่วัดป่าลานหินตัด ครั้งแรกที่รู้จักพระอาจารย์สมบูรณ์แม่ชีรู้สึกแปลกใจ ที่มีพระทำกิจกรรมกับเยาวชน เพราะปกติเคยเห็นแต่พระประกอบพิธีกรรม สวดมนต์ แล้วก็เทศน์
 
              “เมื่อตัดสินใจว่าไม่กลัวลำบากเป็นไงเป็นกัน ไปธุดงค์อยู่ป่าอยู่เขาก็เคยมาแล้ว ปั่นจักรยานธุดงค์คงไม่ยากเท่าไหร่ ปกติปั่น ๒๐ กม.ต่อชั่วโมง พอปั่นเข้ากลุ่มใหญ่ช่วงถึงชานเมืองก่อนเข้ากรุงเทพฯ ต้องเร่งเป็น ๓๐ กม.ต่อชั่วโมงเพราะกลุ่มใหญ่เขาปั่นกันเร็วมากเลยปวดขาบ้างแต่ก็อยู่ตัว โดยเฉพาะเส้นทางในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยคุ้นเหมือนในชนบท”

              กับคำถามว่ารู้สึกอย่างไรกับการปั่นที่พระบรมรูปทรงม้าไปยังโรงพยาบาลศิริราชในวันนั้น แม่ชีตอบว่า ไม่ได้รู้สึกกดดันเหมือนกับพระอาจารย์ทั้งสอง คงเพราะไม่ได้ถูกคาดหวังอะไรจากสังคม เป็นแค่นักบวชชั้นสองคล้ายๆ กับพลเมืองชั้นสอง เหมือนบางคนบอกว่าเป็นไส้ติ่งของศาสนาก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก

              "แต่ถามว่าเป็นพระเป็นชีปั่นจักรยานผิดหรือไม่ ตอบได้ว่ามันไม่ผิด ขอให้มองย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาล นักบวชอาจมีการขี่ช้างขี่ม้าเป็นพาหนะ ถ้าสมัยพุทธกาลมีจักรยานก็น่าจะขี่ได้เพราะใช้พลังงานจากกายเราเอง ถ้าเราไปขี่หลังสัตว์ก็ทำให้สัตว์ต้องทรมานอีก

              "วันนั้นกลับรู้สึกตื่นเต้น สนุกดี ใครๆ ก็เห็นเราชัดเจน มีแต่คนมองมาที่พระและแม่ชีเป็นจุดเดียวแถมมีจักรยานตามมาอีกเป็นฝูงมีรถตำรวจนำอีกต่างหาก เลยกลายเป็นจุดสนใจ รู้สึกภูมิใจและเป็นวาระพิเศษที่ได้ปั่นจักรยานถวายพระพรแด่ในหลวง น่าจะเป็นตัวอย่างให้แม่ชีในชนบทได้หันมาใช้จักรยานกัน มีเพื่อนที่สุรินทร์เห็นพระอาจารย์สมบูรณ์ขี่จักรยาน ก็เลยกลับไปสร้างความเข้าใจกับญาติโยมในหมู่บ้านว่าแม่ชีจะขี่จักรยานกลับไปดูแลแม่ชราภาพที่บ้านทุกวัน แม่ชีไม่มีรายได้ไม่มีกิจนิมนต์การสัญจรในชนบทก็ลำบาก จึงขอให้ญาติโยมเข้าใจในกิจอันนี้ญาติโยมก็เข้าใจยอมรับได้ เพื่อนแม่ชีจึงขี่จักรยานกลับไปดูแลแม่ทุกวัน”

              นั่นเป็นประสบการณ์ของนักบวชทั้งสามท่าน แต่ภารกิจยังไม่จบเท่านี้ พวกท่านยังมีสถิติ ๒,๖๐๐ กิโลเมตรรอสะสมให้ครบเนื่องในโอกาสโคตมะพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ ๒,๖๐๐ ปี พวกเขาวางเส้นทางไปสู่ภาคตะวันออกแล้ววกขึ้นสู่ภาคอีสานเพื่อกลับถึงวัดในที่สุด

              เราขอให้คณะธุดงค์จักรยาตราคณะนี้เดินทางโดยสะดวกปลอดภัย และกลับถึงวัดโดยสวัสดิภาพ