
'อิสลาม'แปลว่า'สันติ'
'อิสลาม'แปลว่า'สันติ' กับ 'วจีทุจริต' ใน 'Innocence of : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม Muslims'
อิสลามแปลว่า ‘สันติ’
ปรากฏการณ์ต่อต้านหนัง Innocence of Muslims อย่างรุนแรงเมื่อสองเดือนที่แล้วได้กระจัดกระจายไปยังประเทศมุสลิมหลายประเทศ สถานทูตสหรัฐในประเทศมุสลิมกลายเป็นเป้าหมายของการชุมนุมและก่อความไม่สงบ ที่อียิปต์มีผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ ๒๐๐ คน อินเดียผู้ประท้วงได้รับบาดเจ็บ ๒๕ คน ลิเบียมีผู้เสียชีวิต ๑๔ คน หนึ่งในนั้นคือเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำลิเบีย เยเมนมีผู้เสียชีวิต ๔ คน ตูนิเซียมีผู้เสียชีวิต ๔ คน อินโดนีเซียมีผู้บาดเจ็บ ๗ คน ที่ประเทศไทยมีการชุมนุมประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาเช่นกัน ทั้งหมดนี้ได้ตอกย้ำอคติและความเข้าใจผิดซ้ำๆ ให้แก่ชาวมุสลิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องการใช้ความรุนแรง
คงไม่ดีแน่หากมีใครมาพูดกับเราว่า “ศาสนาของคุณเป็นพวกนิยมความรุนแรง”
ฉันใด... ชาวมุสลิมก็ฉันนั้น คงไม่มีชาวมุสลิมคนไหนรู้สึกดีหากมีใครมาพูดว่า ‘ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของความรุนแรง’
ถ้าเราเข้าใจว่าชาวมุสลิมชอบใช้ความรุนแรงเป็นคำตอบ นั่นหมายความว่าเรากำลังตกเป็นเหยื่อความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงของชาวมุสลิมที่ปรากฏผ่านสื่อ
ทราบหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วมีชาวมุสลิมจำนวนไม่น้อยรักความสงบ พวกเขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการโต้ตอบด้วยความรุนแรงของชาวมุสลิมที่เกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ของโลก แม้จะเป็นชาวมุสลิมเหมือนกันแต่ด้วยมุมมองและโลกทัศน์ที่แตกต่างกันจึงทำให้ชาวมุสลิมมีวิธีคิดที่หลากหลาย ไม่ได้หมายความว่าชาวมุสลิมจะนิยมชมชอบการโต้ตอบด้วยความรุนแรงเหมือนกันหมดทุกคน
นั่นเพราะ อิสลาม แปลว่า “สันติ”
เบื้องหลังเบื้องลึกของหนัง Innocence of Muslims
ภาพยนตร์เกรดต่ำอย่าง Innocence of Muslims ยังคงหาชมได้ในยูทูบ ทั้งๆ ที่เป็นหนังที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลบหลู่ศาสดามูฮัมหมัดโดยเฉพาะ แท้จริงแล้วควรมีการลบหนังเรื่องนี้ออกไปจากเว็บไซต์เพราะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในประเทศมุสลิมหลายประเทศ ทั้งนี้อาจไม่ใช่เพราะอเมริกาสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกเท่านั้น แต่เพราะต้องการแหย่รังแตนเพื่อระเบิดความเกลียดชังมากกว่า
หนังเรื่องนี้ถูกอ้างว่าใช้ทุนสร้างถึง ๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื้อหาของหนังหยาบคายเมื่อศาสดามูฮัมหมัดกลายเป็นเสือผู้หญิง นักแสดงนำในภาพยนตร์ต่างออกมาเผยว่าตนถูกหลอกเพราะขณะว่าจ้างถ่ายทำพวกเขาถูกบอกว่ามันเป็นหนังผจญภัยย้อนยุคที่เกี่ยวกับอียิปต์เมื่อ ๒ พันปีก่อน และไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับศาสนา หรือไม่เกี่ยวแม้แต่ศาสดามูฮัมหมัด มีเพียงตัวละครมิสเตอร์จอร์จ ซึ่งเมื่อหนังออกเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต มิสเตอร์จอร์จได้กลายเป็นศาสดามูฮัมหมัดด้วยการพากย์เสียงทับเข้าไปเพื่อให้ภาพยนตร์เป็นไปในแบบที่ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการ ชื่อเรื่องก็ถูกเปลี่ยนจาก Dessert Warriors เป็น Innocence of Muslims หมายความว่าการหลอกลวงนักแสดงอาจวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว
นักแสดงหลายคนต่างออกมาแสดงความเสียใจที่ต้องกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระดับประเทศ บางคนรู้สึกตกใจและโกรธจนถึงกับร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าหนังที่ตนแสดงถูกบิดเบือนเนื้อหาและถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือให้เกิดความขัดแย้งโดยที่ตนเองไม่รู้เรื่องมาก่อน นักแสดงบางคนทำเรื่องฟ้องศาลลอสแองเจลิสเพื่อเอาผิดกับ แซม บาไซล์ ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องนี้ฐานละเมิดความเป็นส่วนตัว หลอกลวง ทำลายชื่อเสียงและจงใจวางแผนให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ในขณะที่แซม บาไซล์ กลายเป็นชื่อปลอมของนายนาคูลา เบสลีย์ นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายอียิปต์ผู้มีเบื้องหลังอันคลุมเครือและไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด กระแสข่าวรายงานว่าเขาใช้เงินเพียง ๖ หมื่นดอลลาร์สหรัฐในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ใช่ ๕ ล้านดอลลาร์อย่างที่มีการกล่าวอ้าง รวมทั้งผู้กำกับ อลัน โรเบิร์ต ก็อาจเป็นนามแฝงเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์บ่อนทำลายศาสนา
Innocence of Muslims กับวจีทุจริต ๔ ประการ
เสรีภาพในการพูด (Freedom of Speech) หรืออีกความหมายหนึ่งคือ เสรีภาพในการแสดงออก (Freedom of Expression) เป็นเสรีภาพในการสื่อสารความคิดเห็นของบุคคลผ่านการพูดหรือการแสดงออก รวมถึงพฤติกรรมใดๆ ในการนำเสนอความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะโดยไม่จำกัดสื่อที่ใช้ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการแสดงความคิดเห็นมาก มากเสียจนบางครั้งก็ดูเหมือนจะขาดการควบคุมความพอเหมาะพอดีเหมือนกรณีหนังเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามเสรีภาพในการพูดหรือแสดงความคิดเห็นจะถูกต้องเหมาะสมแค่ไหน เป็นการละเมิดสิทธิ์หรือไม่ เราสามารถตรวจสอบได้โดยใช้วจีทุจริต ๔ เป็นเครื่องชี้วัด คือ ๑) เป็นการพูดเท็จหรือไม่ ๒) เป็นการพูดส่อเสียดให้คนทะเลาะกันหรือไม่ ๓) เป็นการกล่าวคำหยาบคายหรือไม่ และ ๔) เป็นการพูดเพ้อเจ้อหรือไม่
การที่พุทธศาสนาเสนอขอบเขตการสื่อสารไว้ ๔ ประการก็เพื่อให้ผู้พูดและผู้ฟังได้รับประโยชน์สูงสุดจากการสื่อสาร ไม่เกิดความขัดแย้ง หากใครสามารถหลีกเลี่ยงวจีทุจริตทั้ง ๔ ประการนี้ได้ก็ถือว่าการสื่อสารนั้นเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ซึ่งแท้จริงแล้วศีลข้อมุสาวาทหรือศีลข้อ ๔ พุทธศาสนาไม่ได้เน้นย้ำให้เราหลีกเลี่ยงการพูดเท็จเท่านั้น แต่พุทธศาสนายังสนับสนุนให้เราหลีกเลี่ยงวจีทุจริตอีก ๓ ข้อที่เหลือด้วยเมื่อนั้นศีลข้อมุสาวาทของเราจึงจะบริสุทธิ์ หากเราพูดคำสัตย์แต่เรายังพูดคำหยาบ เรายังพูดส่อเสียด เรายังพูดเพ้อเจ้อ การพูดนั้นก็ถือว่ายังไม่บริสุทธิ์โดยประการทั้งปวง
กรณีภาพยนตร์ Innocence of Muslims เราพบว่าหนังเรื่องนี้เข้าข่ายวจีทุจริตครบทั้ง ๔ ประการเลยทีเดียว กล่าวคือ เป็นเรื่องโกหกที่ถูกแต่งขึ้น มีเนื้อหาส่อเสียดให้ชาวมุสลิมรู้สึกโกรธเมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ มีเนื้อหาหยาบคายเมื่อศาสดามูฮัมหมัดกลายเป็นเสือผู้หญิง และเป็นหนังที่มีเนื้อหาเพ้อเจ้อไร้สาระ
ไม่ควรนำรูปศาสดามาล้อเล่น
ถ้าไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์เพื่อก่อให้เกิดสติปัญญาแล้ว เราไม่ควรนำรูปเคารพหรือเรื่องราวของศาสดาของศาสนาอื่นมาล้อเล่นหรือทำลาย เพราะการกระทำเช่นนั้นถือว่าไม่ให้ความเคารพในความเชื่อที่แตกต่างของเพื่อนศาสนิกชนอื่นๆ
ผู้นำอิสลามในอินโดนีเซียออกมาประกาศกับประชาชนของเขาว่าอย่าโกรธแค้นกับหนังเรื่องนี้จนเกินไปนัก ในสถานการณ์ที่ลุกเป็นไฟเช่นนี้ความอดทนอดกลั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ที่ผ่านมาชาวพุทธเองก็ใช้ขันติธรรมไม่น้อยเมื่อเราต้องทนเห็นพระพุทธรูปบามิยันมีอายุเป็นพันปีถูกระเบิดทำลายจนไม่เหลือความงดงามหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เราต้องอดทนอดกลั้นเมื่อเราเห็นพระพุทธรูปกลายเป็นเครื่องประดับฉากในหนังหลายเรื่องของฮอลลีวู้ด หรือการตกแต่งพระพุทธรูปให้ดูตลกขบขันเป็นรูปแมคโดนัลด์
แต่ทั้งหมดนั้นก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าแม้ความรักในศาสดาก็ต้องมีสายกลาง ไม่โกรธแค้นหรือไม่ปล่อยวางจนเกินไป มีเมตตากับตนเองและคนอื่นๆ หากมีใครทำไม่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสดาและรูปเคารพเราก็ควรออกมาแสดงความคิดเห็นว่าเราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อพวกเขาจะได้ยุติการกระทำอันไม่สมควรนั้น เพราะถือเป็นการละเมิดศรัทธาของผู้อื่น ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะไม่มีวันเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นเป็นการทำร้ายจิตใจของเพื่อนศาสนิกชนที่แตกต่าง
และสุดท้ายเสรีภาพในการพูดควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของวจีสุจริต คือ พูดคำสัตย์ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ เพื่อทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากเสรีภาพในการพูด