พระเครื่อง

'โอม มหารวย'แถลงปัดไม่เกี่ยวอ.หนู

'โอม มหารวย'แถลงปัดไม่เกี่ยวอ.หนู

30 ต.ค. 2555

'โอม มหารวย'ปัดไม่เกี่ยวข้องกับเหตุพิพาทเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้-อาจารย์หนู ย้ำชัดเหรียญ 5 แถวแบ่งรายได้ครึ่ง ๆ ส่งเงินสร้างหลวงพ่อทวดไม่ต่ำกว่า 30 ล้าน แต่พระนำเงินไปใช้ก่อสร้างรายการอื่นจนทำให้เกิดข้อขัดแย้ง ดีเอสไอขึ้นเชียงใหม่สอบ เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้หอ

             ที่สตูดิโอ บริษัท โอม มหารวย จำกัด วันที่ 30 ต.ค. นายภุชงค์ สิริธัญผล ประธานบริษัทโอม มหารวย พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัท ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีที่พระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท เจ้าอาวาส วัดแม่ตะไคร้ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบนายสมพงษ์ กันภัย หรืออาจารย์หนู กันภัย เจ้าสำนักสักยันต์ชื่อดัง โดยอ้างว่ามีการยักยอกเงินบริจาคที่มาจากการบูชาวัตถุมงคลเพื่อนำมาสร้างหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศของวัดแม่ตะไคร้เป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

             นายภุชงค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสถานีเคเบิ้ลของตนทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้บูชาวัตถุมงคลที่เป็นของอาจารย์หนูซึ่งเริ่มต้นจากตนได้มีโอกาสรู้จักอาจารย์หนูที่ต้องการหาเงินมาไปจัดสร้างหลวงปู่ทวดที่วัดแม่ตะไคร้ และได้ลงทุนทำวัตถุมงคลเหรียญ 5 แถว จากนั้นจึงให้ตนช่วยประชาสัมพันธ์ผ่านรายการของบริษัทเพื่อหารายได้สมทบทุน ขณะนั้นได้กำหนดให้เช่าเหรียญละ 999 บาท โดยแบ่งเงินรายรับคนละครึ่งเนื่องจากบริษัทต้องมีค่าใช้จ่ายในการโฆษณาให้ส่วนเงินที่แบ่งให้อาจารย์หนูจะนำไปบริจาคสร้างหลวงปู่ทวดเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ต่อมาเกิดเหตุอุทกภัยและการชุมนุมทางการเมืองทำให้ตนต้องขอลดรายได้ที่แบ่งให้อาจารย์หนูเหลือเพียงเหรียญละ 300 บาท ซึ่งอาจารย์หนูก็ไม่มีปัญหา จนกระทั่ง ปี 2554 อาจารย์หนูได้สอบถามถึงความคืบหน้าการสร้างหลวงปู่ทวด แต่พบว่าไม่คืบหน้าเพราะหลวงพ่อเทียนชัยได้นำเงินไปสร้างสิ่งก่อสร้างอื่นและวางตัวไม่เหมาะสม ทำให้อาจารย์หนูจึงหยุดส่งเงินให้กับหลวงพ่อเทียนชัย และนำเงินก่อสร้างหลวงปู่ทวดไปมอบให้กับผู้ควบคุมการก่อสร้างแทน จากนั้นก็พบว่าทั้ง 2 คนทะเลาะกันมาโดยตลอด

             นายภุชงค์ กล่าวต่อว่า บริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินดังกล่าว แต่กลับได้รับผลกระทบด้านชื่อเสียงจากการร้องเรียนครั้งนี้ ซึ่งบริษัทไม่ได้มีการทำสัญญาเรื่องดังกล่าวกับทางวัด เพราะไม่ใช่ประธานการก่อสร้าง กรณีดังกล่าวอาจารย์หนูได้ทำสัญญาก่อสร้างหลวงปู่ทวดกับผู้รับเหมา ซึ่งเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับระยะเวลาการก่อสร้างที่ต้องแล้วเสร็จในวันที่ 3 มี.ค. 2556 อย่างไรก็ตาม ตนขอเปิดเผยรายละเอียดการรับจ่ายเงินที่ได้จากการบูชาวัตถุมงคล เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน โดยเฉพาะประเด็นที่หลวงพ่อเทียนชัยระบุว่าถูกโกง 300 ล้านบาท นั้นไม่เป็นความจริง เพราะรายได้ที่บริษัททยอยมอบให้อาจารย์หนูมีรวมกว่า 90 ล้านบาท ไม่รวมยอดเงินที่บริษัทจ่ายให้ทางวัดเพื่อนำไปสร้างหลวงปู่ทวดให้เสร็จอีกประมาณ 20 ล้านบาท หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายเกิดทะเลาะกัน ส่วนอาจารย์หนูจะนำรายได้ทั้งหมดไปมอบให้วัดเป็นเงินเท่าไหร่ บริษัทไม่ทราบแน่ชัด เท่าที่ทราบคือประมาณ 30 ล้านบาท ขณะที่ราคาประเมินการก่อสร้างหลวงปู่ทวดเบื้องต้นประมาณการไว้ที่ 18 ล้านบาท แต่หากรวมค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ รวมการก่อสร้างฐานด้วยจะมีราคาเกือบ 30 ล้านบาท ดังนั้นเงิน 300 ล้านบาทที่กล่าวถึงนั้นข้อเท็จจริงมีไม่ถึง

             "เรื่องนี้อาจารย์หนูคงไม่ได้ทำผิดกฎหมายเพราะเหรียญที่เปิดให้บูชาเป็นเหรียญที่อาจารย์หนูใช้เงินส่วนตัวสร้างเอง ไม่ได้นำเงินของวัดมาสร้างแม้แต่บาทเดียว แต่ผิดที่บริจาคเงินให้วัดแค่เงินสร้างหลวงปู่ ส่วนผมตอนนี้เรียกว่าน้ำตาตกใน เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแต่กลับต้องเสียชื่อเสียง ที่ออกมาชี้แจงเพราะต้องการปกป้องครอบครัวเท่านั้น” นายภุชงค์ กล่าว

             นายภุชงค์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้องค์หลวงปู่ทวดสร้างใกล้เสร็จแล้วเหลือการเก็บรายละเอียดและก่อสร้างฐานอีกเล็กน้อย ส่วนการให้เช่าบูชาวัตถุมงคลยังคงมีการประชาสัมพันธ์อยู่ แต่ไม่ได้ระบุว่าจะทำไปสร้างวัดแม่ตะไคร้เพราะสร้างเสร็จแล้ว แต่รายได้หลังจากนี้จะนำไปบริจาคเพื่อสร้างสาธารณะประโยชน์ให้กับวัดอื่น ๆ ทั้งนี้ เห็นว่าการยื่นเรื่องตรวจสอบขณะนี้เป็นเพียงความขัดแย้งของหลวงพ่อเทียนชัยและอาจารย์หนู


ดีเอสไอขึ้นเชียงใหม่สอบเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้

             ขณะเดียวกันพ.ต.ท.ภีคเดช จุมพล ผู้อำนวยการ สำนักคดีอาญา 2 ส่วน 1  กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับพระใบฎีกาเทียนชัย โดยในเวลา 14.30 น. พระใบฎีกาเทียนชัยได้เดินทางเข้าให้ข้อมูลที่ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษภาคเหนือ ดีเอสไอ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 

             สำหรับการเดินทางเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงครั้งนี้ พ.ต.ท. ภีคเดช  ระบุว่า การเดินทางมาครั้งนี้เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งคำให้การและพยานหลักฐานตามข้อร้องเรียนของพระ ใบฎีกาเทียนชัย ก่อนจะรวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมดเสนอต่อคณะกรรมการคดีพิเศษให้พิจารณามีมติว่าจะรับเป็นคดีพิเศษเพื่อดำเนินการสอบสวนหรือไม่
 
             ด้านพระใบฎีกาเทียนชัย ระบุว่า การเข้าชี้แจงครั้งนี้ได้เตรียมหลักฐานเป็นเอกสาร เช่น สัญญาสร้างหลวงปู่ททวดที่ทำสัญญากับโรงหล่อ 22 ส.ค.2551 เป็นสัญญาฉบับแรก ที่มีชื่ออาตมาเป็นผู้ว่าจ้างเพียงคนเดียวและมีคณะกรรมการรับรองในราคา 18 ล้านบาท แต่ภายหลังในวันที่  26 ส.ค.2552 อาจารย์หนูได้เปลี่ยนสัญญาโดยใช้ชื่อของตัวเองเป็นผู้ว่าจ้างและเปลี่ยนให้อาตมาเป็นพยาน

             รายงานแจ้งว่าการเดินทางเข้าให้ปากคำของพระใบฎีกาเทียนชัยครั้งนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ภายในห้อง โดยระบุว่าเป็นเพียงการตรวจสอบเอกสารในเบื้องต้นเท่านั้น