พระเครื่อง

พระกริ่งจักรพรรดิวัดสุทัศนฯร่วมสร้างหอฉัน'มจร'

พระกริ่งจักรพรรดิวัดสุทัศนฯร่วมสร้างหอฉัน'มจร'

22 ต.ค. 2555

พระกริ่งจักรพรรดิวัดสุทัศนฯตำนานจักรพรรดิมหาพิธี ๙ ชาติ แห่งสยามประเทศ : ชั่วโมงเซียนโดยอ.ยุทธ โตอดิเทพ

              นับแต่การสร้างพระกริ่งเทพโมฬี เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๑ ของสมเด็จพระสังฆราช (แพ) สำนักวัดสุทัศนเทพวราราม ก็กลายเป็นต้นแบบแห่งตำราการจัดพิธีสร้างพระเครื่องของเมืองไทย ด้วยรูปแบบพิธีกรรมขององค์ประมุขสงฆ์ที่จัดอย่างชัดเจนและการกระทำที่สืบสานประเพณีอย่างต่อเนื่องมาทุกปี ทำให้ทุกสำนักในแผ่นดินเชื่อถือ ยึดถือ และถือเอาไปเป็นรูปแบบปฏิบัติการจัดพิธีพุทธาภิเษกและสร้างพระเครื่องกันมากมายจนนับรุ่นไม่ถ้วนในปัจจุบัน
   
              สำหรับสำนักวัดสุทัศนเทพวรารามเองก็มีการจัดพิธีการสร้างพระกริ่ง พระชัยวัฒน์ และพระเครื่องต่างๆ สืบสานมาแต่ครั้งสมัยสมเด็จพระสังฆราช (แพ) อย่างยิ่งใหญ่หลายครั้งหลายรุ่น กลายเป็นมรดกคู่พระอารามในการทำบุญวโรกาสต่างๆ แต่พิธีกรรมการจัดพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักนี้ก็คงต้องยกให้การจัดมหาพิธี ๙ ชาติ ในการสถาปนา “พระกริ่งจักรพรรดิ พระนามแดง” เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๖
   
              ทั้งนี้ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เข้าของบประมาณการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์หอฉัน ๘๕ ล้านบาท จากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศนฯ โดยมี “เสี่ยอู๊ด” หรือ นายสิทธิกร บุญฉิม เป็นประธานจัดหาทุน ได้มีการถวายพระนามอันยาวเหยียดเฉลิมองค์พระกริ่งว่า “พระกริ่งจักรพรรดิ มหัทธนากร บวรมหิทธิเตชะ นรานรเทวาภิปูชนีย์”
   
              การครั้งนั้นได้มีการระดมผู้รู้สรรพวิชา ๓ พิธี ได้แก่พิธีพุทธ พิธีพราหมณ์ และพิธีโหร มาร่วมสถาปนาพระกริ่งโดยท่านอาจารย์หนู ได้แนะนำให้เปิดตำราโบราณปี ๒๔๖๐ อันเป็นตำนานพระนามดำ พระนามแดง ของสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ที่ทรงสร้างพระชัยวัฒน์ประทานให้เสด็จกรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ มาจัดสร้างพระกริ่งในคราวนี้
     
              โดย “พระมหาประดิษฐ์ ถิรธัมโม” โหราจารย์ใหญ่สำนักวัดสุทัศนฯ ได้คำนวนมงคลฤกษ์จัดแบ่งการสร้างเป็น ๖ พิธีกรรมในระยะกว่า ๑ ปี ซึ่งแต่ละพิธีได้ ท่านอาจารย์หนู นิรันตร์ แดงวิจิตร พร้อมพระครูธวัชภัทราภรณ์(ต๊ะ) วัดช้าง คุณเจตน์หลานชายเจ้าคุณพระญาณโพธิ (เข็ม) เจ้าคุณพระพิพัฒน์สังวรคุณ พระครูนิคม หลวงปู่พวงวัดป่าปูลูฯ และครูบาเจ้าเทือง วัดบ้านเด่น ช่วยให้คำปรึกษาแบ่งแยกรายละเอียดการสร้างอย่างสลับซับซ้อนชนิดที่เรียกว่าไม่เคยมีพิธีกรรมใดจัดได้เสมอเหมือน และหากจะสาธยายก็คงไม่หมดได้ง่ายๆ ในวันเดียว
   
              เริ่มด้วยพิธีแรกการจารแผ่นพระยันต์ทองคำ ๑๐๘ ในวันอังคารขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเส็ง (๒๒ มกราคม ๒๕๔๕) ดิถีอำมฤคโชคเป็นปฐมพิธี มงคลฤกษ์เวลา ๐๙.๐๙ น. ณ พระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม จากนั้นเป็นพิธีที่ ๒ การเททองหล่อในวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๕ โดยมี “ท่านอาจารย์หนู” นิรันตร์ แดงวิจิตร เป็นเจ้าพิธีจัดบวงสรวงและจุดเทียนชัยพุทธาภิเษกโลหะแร่ธาตุต่างๆ ก่อน มีนายเฉลิม วงศ์แววดี “ช่างเล็ก” เป็นนายช่างทำการเททองพระทุกองค์หล่อในฤกษ์ ณ มณฑลพิธีวัดช้าง อ.บ้านนา จ.นครนายก ในครั้งนั้นท่านอาจารย์หนูได้นำชนวนมวลสารต่างๆ ของสมเด็จพระสังฆราช(แพ) มาใส่อย่างมโหฬาร เมื่อหล่อเสร็จให้ “พระมหาประชุม” วัดสุทัศนฯ และ “ช่างศักดิ์วิน” ร่วมแสดงฝีมือแต่งพระกริ่งทีละองค์
   
              การสร้างพระกริ่งจารึกพระนามตามตำราเดิมปี ๒๔๖๐ ที่มีบันทึกไว้ ๓๙๔ พระนาม จึงได้เฉลิมพระนามขึ้นใหม่ ๒๗๘ พระนาม มี “เจ้าคุณพระเทพปริยัติเวที” (แสงทอง) วัดสุทัศนฯ เป็นผู้ตรวจชำระพระนามทั้งหมด จากนั้นสำนักวัดช้าง โดยพระอาจารย์ต๊ะและอาจารย์จู๊ด จึงเริ่มจารพระนามพระพุทธเจ้าเป็นภาษาพระบาลีขอม ในวันพุธที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ พิธีที่ ๓ ทาชาดแดงปิดทับพระนามใต้ฐาน รวม ๖๗๒ องค์ โดยกำหนดพิธีที่ ๔ ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๕ ท่านอาจารย์หนู ได้นำน้ำมันหอม 9 กลิ่น ของสมเด็จพระสังฆราช (แพ) มาถวายให้เจิมพระกริ่ง มีพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ๑๙ รูป
   
              พิธีที่ ๕-๖ เป็นการจัดพุทธาภิเษกใหญ่ ๙ ชาติ ระหว่างวันที่ ๒๓ มกราคม ถึงวันที่ ๑ เข้ารุ่งสว่างวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ (รวม ๑๑ วัน) โดยพิธีจุดเทียนชัยโหราจารย์กำหนด “ดวงตรีเทพ” วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๔๖ ได้มหาราชาแห่งฤกษ์เวลา ๑๕.๓๙ น. โด้ได้อาราธนาพระมหาเถราจารย์ผู้นำสงฆ์และผู้นำจิตวิญญาณ ๙ ประเทศ รวมกว่าร้อยรูปร่วมพิธีประกอบด้วย จีน เกาหลี ศรีลังกา พม่า ภูฏาน เนปาน ลาว เขมร และทิเบต  ที่สำคัญ คือยังได้ “หลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ วัดชลประทานฯ” มาร่วมพิธีอธิษฐานจิตครั้งประวัติศาสตร์ด้วย
   
              หลังจากนั้นได้เปิดให้ “ประชาชนนับหมื่นๆ คน” ที่มานอนรอเข้าคิวเนืองแน่นล้นวัดกว่า ๒ วัน ได้ทยอยขึ้นพระอุโบสถเป็นครั้งแรกกำหนด ๑ ท่านมีสิทธิ์บูชาพระได้ ๑ องค์ โดยให้สิทธิ์เสี่ยงจับพระกริ่งพระนามแดง พระนามดำ พระนามทอง ที่สร้างอย่างละ ๖๗๒ องค์ผสมกับพระนามก้นขาวและก้นเหลือง ซึ่งผู้ที่ผิดหวังไม่ได้ครอบครองพระนามแดงในวันนั้นมีจำนวนมากนับหมื่นคน ทำให้ผู้ที่เสี่ยงจับได้พระนามแดง เกิดปรากฏการณ์จากอัตราบูชาเดิม ๓,๙๐๐ บาท “พุ่งขึ้นถึง ๘๕,๐๐๐ บาท” ในทันที หลังที่ลงจากพระอุโบสถ เพราะมีผู้มารอเสนอราคา
   
              การมหาพิธี ๙ ชาติในการสถาปนาพระกริ่งจักรพรรดิ เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๖ นับว่าเป็นพิธีการสร้างพระกริ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักวัดดังกลางกรุง และจัดเป็นมหาพิธีการสร้างพระเครื่องที่ยิ่งใหญ่ของเมืองไทยก็ว่าได้ เพราะไม่ปรากฏการจัดพิธีสร้างพระเครื่องใดที่สลับซับซ้อนโดยใช้ระยะเวลาการจัดพิธียาวนานกว่า ๑ ปี จึงจัดว่าการสร้างพระกริ่งจักรพรรดิเป็นตำนานจักรพรรดิมหาพิธี ๙ ชาติ ในการประกาศสร้างพระกริ่งแห่งสยามประเทศอย่างสมบูรณ์ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ อย่างไม่มีวันลืม.


หอฉันอาคารปฏิบัติธรรม


    
              มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ได้จัดตั้งฝ่ายวิปัสสนาธุระ ส่วนธรรมนิเทศ ขึ้นมาเพื่อให้พันธกิจเป็นรูปธรรม โดยใช้โดยใช้อาคารอเนกประสงค์หอฉันเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม รับประทานอาหาร และใช้เป็นที่พักของผู้ปฏิบัติธรรมตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถรองรับผู้มาปฏิบัติธรรมได้ครั้งละหลายร้อยคน
   
              อาคารอเนกประสงค์หอฉัน ใช้งบประมาณก่อสร้างจากเงินให้เช่าบูชาพระกริ่งจักรพรรดิ ๘๕ ล้านบาท และเงินพระกริ่งจักรพรรดิที่เหลือยังก่อเกิดสาธารณประโยชน์อีกมาก ซึ่งนายสิทธิกรได้นำไปบริจาคทำบุญต่างๆ อาทิ ร่วมสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ๑๐ ล้านบาท สมทบทุนมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ๑๒ ล้านบาท เพื่อให้มูลนิธิมีทุนครบ ๑๐๐ ล้านบาท ร่วมสร้างอาคาร มจร. ๙๒ ปี ปัญญานันทะ ๑ ล้านบาท ตั้งกองทุนการศึกษา ณ วัดสุวรรณรังสรรค์ จ.ระยอง ๕ ล้านบาท สมทบทุนมูลนิธิพอ.สว.๑ ล้านบาท ตั้งกองทุนสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่ อสมท ๑ ล้านบาท และสมทบโครงการจัดหาทุนสร้างอาคารหอประชุม มวก.๔๘ พรรษา อีก ๒๐ ล้านบาท     
            
              นอกจากจัดหาทุนก่อสร้างอาคารหอฉัน มจร. แล้วนายสิทธิกรยังสร้างพระพุทธสิทธิมุณี พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ในหอฉัน โดยพระพรหมมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญานันทะ ในสมัยดำรงสมณศักดิ์พระธรรมโกศาจารย์ สถิต ณ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี ได้มีบันทึกอนุโมทนาด้วยลายลักษณ์อักษรประกาศยกย่องให้เป็น “มหาอุบาสกสิทธิกร บุญฉิม”