พระเครื่อง

เข้าพรรษาณแดนพุทธภูมิ

เข้าพรรษาณแดนพุทธภูมิ

20 ก.ย. 2555

เข้าพรรษาณแดนพุทธภูมิ : พระครูปรัยัติโพธิวิเทศ (ดร.พระมหาคมสรณ์) เจ้าอาวาสวัดไทยเชตวันมหาวิหาร- นครสาวัตถี พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย

             เทศกาลเข้าพรรษา มาจากคำในภาษาบาลีว่า วสฺสูปนายิกา แปลว่า การไปอยู่ประจำในฤดูฝน
 
             วันเข้าพรรษา แต่เดิมสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติพระวินัย ให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษา หลังจากการแสดงปฐมเทศนากัณฑ์แรก คือ พระธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร แก่พระปัญจวัคคีย์ทั้งห้า ณ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วพระพุทธองค์ก็ประทับอยู่ช่วงกาลฝนแรก
 
             เมื่อพ้นกาลฝนแล้ว ตอนนั้นมีพระอริยสงฆ์สาวกอุบัติขึ้นในโลกเพียง ๖๐ รูปเท่านั้น พระพุทธองค์ได้ประกาศรับสั่งให้เหล่าบรรดาพระสงฆ์ชุดแรกออกประกาศธรรมที่ตนบรรลุรู้แจ้งตามอริยธรรมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว โดยรับสั่งว่า...จรถะ ภิกขเว จริกํ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ หิตายะ สุขายะ..ถือเป็นคำสั่งที่ ๑/๑ ในพระพุทธศาสนาก็ว่าได้ 
 
             พระองค์ทรงกำชับรับสั่งให้พระสงฆ์เดินทางออกประกาศพระศาสนา อย่าไปซ้ำเส้นทางกัน ให้ไป ๑ เส้นทาง ๑ รูป แยกกันออกไปประกาศพระศาสนาให้ได้พื้นที่มากที่สุด
 
             เหล่าบรรดาพระภิกษุอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายเหล่านั้น ต่างก็พากันออกเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ประกาศธรรม ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็ก เมืองใหญ่ หมู่บ้าน ป่าเขา ทั่วแผ่นดินชมพูทวีปโดยไม่ย่อท้อ ทั้งในฤดูหนาวฤดูร้อนและฤดูฝน ไม่มีหยุดหรืองดเว้นการปฏิบัติหน้าที่เลย จึงทำให้คำสอนของพระพุทธองค์แผ่ไปอย่างกว้างขวาง ในระยะเวลาเพียงไม่นาน
 
             ต่อมาประชาชน ชาวบ้านต่างพากันติเตียนว่า พวกสมณะศากบุตร ไม่ยอมหยุดสัญจร แม้ในฤดูฝน ในขณะที่พวกพ่อค้าและนักบวชในศาสนาอื่นๆ ต่างพากันหยุดสัญจรในช่วงฤดูฝน
 
             การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจไปเหยียบย่ำข้าวกล้าชาวบ้านจนได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อย จนถึงแก่ความตายเป็นจำนวนมาก
 
             เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบบัญญัติให้พระภิกษุเข้าอยู่ประจำที่ตลอดระยะเวลา ๓ เดือนของฤดูฝน คือ เริ่มวันเพ็ญเดือน ๘ ไปจนถึงวันเพ็ญเดือน ๑๑ จึงถือมาเป็นข้อวินัยที่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาปฏิบัติมาจนถึงกาลปัจจุบัน
 
             หากจะมองถึงประเพณีต่างๆ ของเจ้าลัทธินักบวชอื่นๆ ในปัจจุบัน ที่ประเทศอินเดีย ก็ยังคงเป็นเช่นในอดีต ตัวอย่างเช่น นักบวชฮินดูจะอยู่ในอาราม อาศรมของตนๆ เพื่อท่องบ่นสวดมนตราขอพรพลังจากเทพเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ในช่วงฤดูฝน จะมีเพียงศาสนิกของศาสนาฮินดูบางนิกายเท่านั้น ที่ออกไปแสวงบุญในช่วงฤดูฝน โดยจะพากันนุ่งห่มผ้าสีเหลืองแสด เดินเท้าเปล่า หรือไม่ก็เช่ารถออกแสวงบุญตามเทวสถานต่างๆ ทั่วอินเดีย เต้นระบำทำเพลงบูชาเทพอย่างสนุกสนาน ในเทศกาลนี้เรียกว่า "โบล-บำ" (Bol-Bum) ในปีนี้เริ่มระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม-๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕
 
             ในขณะที่บางกลุ่มก็หาบน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ำคงคา เดินเป็นกองคาราวานด้วยเท้าเปล่า เป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร เพื่อเอาไปบูชาขอพรจากองค์เทพเจ้าตามเทวสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ขณะที่เดินไปนั้น หากเกิดความเหน็ดเหนื่อยก็จะกล่าวคำว่า โบลบำๆ เรื่อยไปเพื่อขอพลังจากองค์เทพเจ้า ประทานพรไม่ให้เหน็ดเหนื่อย
       
             หากจะวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ชาวบ้านคนอินเดีย เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล พากันกล่าวติเตียนพระสงฆ์สาวก ว่าเที่ยวเดินไปเหยียบข้าวกล้าพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ปลูกไว้นั้น คนเมืองไทยเราอาจจะสงสัยว่า พระท่านไม่มีตามองหรืออย่างไร ทำไมจึงเดินซุ่มซ่ามเที่ยวเหยียบข้าวกล้าในที่นาของชาวบ้านอยู่ได้ เพราะคันนาก็มีให้เดิน
 
             ความเป็นจริงก็คือว่า คันนาของชาวนาอินเดียนั้น มีขนาดเล็กมาก กั้นเพียงแค่คั่นน้ำไว้เท่านั้น ไม่เหมือนที่บ้านเรา ซึ่งคันนาจะมีขนาดใหญ่ และสามารถเดินได้อย่างสะดวก ที่อินเดียถึงฤดูฝนข้าวกล้าเจริญเติบโตงอกงามขึ้น แม้พระท่านจะเดินไปตามคันนา อย่างไรเสียพระท่านก็คงต้องเหยียบอยู่ดี...เพราะต้นข้าวล้มปิดกั้นคันนาขวางทางเดินเต็มไปหมด
       
             อีกประการหนึ่ง ช่วงหน้าฝนที่อินเดีย บรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อย สัตว์ปีกสัตว์ไม่มีปีกทั้งหลาย มีจำนวนมากจริงๆ เคยสังกตเห็นสัตว์เหล่านี้ ไม่รู้มาจากไหน และนับเป็นเรื่องแปลกมาก แมลงจำนวนมากเหล่านี้จะหายไปทันทีใน วันดิวารี (Diwali) ของฮินดู ซึ่งเป็นเทศกาลบูชา (ตรงกับวันออกพรรษา หรือก่อนหลังไม่กี่วัน)
 
             ถ้าพระสงฆ์เดินไปแบบไม่ระมัดระวัง ก็มีหวังเหยียบสัตว์เหล่านั้นตายเป็นจำนวนมากแน่นอน จึงทำให้หายสงสัยว่า ทำไมชาวบ้านในสมัยนั้น จึงติเตียนพระสงฆ์ว่า เที่ยวเดินเหยียบสัตว์เล็กสัตว์น้อย เท่ากับว่าไม่ระมัดระวังเรื่องการปฏิบัติรักษาศีล อันเป็นที่มาของการติเตียนพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั่นเอง
 
             และอีกเหตุผลที่ได้ประสบเห็นด้วยตนเอง คือ ในช่วงฤดูฝน เมื่อยามที่น้ำหลากมาท่วมที่อยู่ของสัตว์มีพิษ โดยเฉพาะตระกูลงูทั้งหลาย จะหนีน้ำหลบอยู่ที่สูง โดยเฉพาะตามคันนา หากเดินทางในฤดูนี้ย่อมเกิดอันตรายจากสัตว์มีพิษได้โดยง่าย พระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลเคยถูกงูกัดจนมรณภาพก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่าง อีกเรื่องหนึ่งซึ่งน่าสังเกตว่า สาเหตุที่นักบวชของศาสนาเชน (ชีเปลือย) เมื่อเดินทางไปตามถนน ทำไมจึงถือไม้กวาดเตรียมไว้ด้วย ทั้งนี้ก็เพราะนักบวชเหล่านั้นเกรงว่า จะเหยียบสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลายตายได้โดยไม่ตั้งใจ เพราะสัตว์แมลงเหล่านั้นมีอยู่จำนวนมาก ด้วยศาสนาเชนมีคำสอนเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ว่า การฆ่าสัตว์ตายจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ถือว่ามีผลเป็นบาปทั้งสิ้น ซึ่งต่างจากคำสอนทางพระพุทธศาสนา ที่กล่าวถึง "กรรม" ว่า มีผลเกิดเป็น "วิบาก" เพราะมีเจตนาเท่านั้น