พระเครื่อง

'นารีวงศ์’:พาลูกสาวออกบวชเป็นสามเณรี

'นารีวงศ์’:พาลูกสาวออกบวชเป็นสามเณรี

15 ก.ย. 2555

'นารีวงศ์’ ประวัติศาสตร์วัตร์ภิกษุณีแห่งแรกในสยาม (๒ ) พาลูกสาวออกบวชเป็นสามเณรี : วิปัสสนาบนหน้าข่าว /นารีวงศ์’ โดยพระชาย วรธัมโม เรื่อง อุสาห์ รงคสุวรรณ ภาพ

            การพาลูกสาวออกบวชเป็นสามเณรีกลายเป็นข่าวคึกโครมในช่วงปี พ.ศ.๒๔๗๑-๒๔๗๒ เหตุการณ์ครั้งนั้นมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ใช่ว่านรินทร์จะพาลูกสาวออกบวชโดยไม่มีหลักการใดๆ นรินทร์ให้เหตุผลการบวชลูกสาวของตนเป็นสามเณรีไว้ว่า ๑.เพื่อบำรุงพุทธศาสนาให้เจริญถาวรในแผ่นดินสยาม  ๒.เพื่อตอบแทนบุญคุณของแม่ ๓.เพื่อตอบแทนบุญคุณแก่พระนางประชาบดีโคตมี ๔.เพื่อภิกขุณีปาฏิโมกข์ (วินัยของภิกษุณี) จะได้ไม่เป็นหมัน ๕.เพื่อผู้หญิงจะได้ไม่ต้องไปบวชเป็นชีคอยรับใช้พระ  ๖.เพื่อเปิดโอกาสให้หญิงผู้มีศรัทธาได้มีโอกาสบวชเรียนปฏิบัติ ๗.เพื่อจะได้ไม่อายต่างชาติว่าที่นี่สยามประเทศผู้หญิงก็บวชได้  ๘.เพื่อเป็นแบบอย่างอันดีต่อหลักธรรมเรื่องหลักตัดสินพระธรรมวินัย ๘ ประการหรือโคตมีสูตร ๙.เมื่อบวชเป็นสามเณรีแล้วจะได้พัฒนาบวชเป็นภิกษุณีต่อไปจนครบพุทธบริษัท ๔  
 
              เห็นได้ว่าแนวคิดรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีของนรินทร์มีความก้าวหน้ามากที่กล้าปฏิวัติให้ผู้หญิงห่มผ้าเหลืองในขณะที่พระสงฆ์ยังไม่กล้าคิดเช่นนั้น นรินทร์ไม่มีอคติต่อเพศหญิงหากเพศหญิงจะห่มจีวรแต่เทิดทูนเพศหญิงในฐานะที่ตนเองอาศัยท้องของเพศหญิงมาเกิดแล้วเรียกการสนับสนุนให้เพศหญิงได้บวชพระว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณแม่ซึ่งสวนทางกับแนวคิดของสังคมว่าผู้ชายต้องบวชพระเพื่อตอบแทนบุญคุณแม่
 
              จากหลักฐานพบว่านรินทร์มีแนวคิดรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีมาตั้งแต่ก่อตั้งพุทธบริษัทสมาคม เมื่อปี ๒๔๕๕ แล้ว เขาเขียนลงในวารสาร ‘สาระธรรม’ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๖ ไว้ว่า “ยั่วหญิงสัมมาทิฐิให้ริคิด ประกอบกิจกู้ชาติศาสนา ตามเยี่ยงอย่างโคตมีมีแบบมา เพื่อพาลาจะได้ว่าน้อยลงเอย” เวลานั้นลูกสาวคนแรกของเขามีอายุเพียง ๓ ขวบ บางทีแนวคิดภิกษุณีของนรินทร์อาจมีมาตั้งแต่เขาบวชเป็นสามเณรอายุ ๑๕ แล้วก็ได้ เพราะนรินทร์ก็เหมือนคนอื่นๆ เมื่อศึกษาพุทธศาสนาก็ต้องพบเจอคำว่า "ภิกษุณี" แล้วก็ชวนให้สงสัยต่อว่าจะเป็นอย่างไรหากผู้หญิงได้บวชภิกษุณีกันอีกครั้ง นี่จึงเป็นความคิดที่สั่งสมเรื่อยมาของนรินทร์ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะเขาจึงพาลูกสาว ‘สาระ’ วัย ๑๘ และ ‘จงดี’ วัย ๑๓ ออกบวชเป็นสามเณรี
 
              ก่อนที่จะมีการพาลูกสาวออกบวช นรินทร์สัมภาษณ์ความเห็นของพระภิกษุหลายรูปว่าคิดเห็นอย่างไรหากมีการริเริ่มให้ผู้หญิงอุปสมบทเป็นภิกษุณี มีทั้งพระที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย พระที่เห็นด้วยบางรูปถึงกับออกปากว่าจะเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ก็มี ผู้เขียนประเมินจากหลักฐานว่าการบรรพชาลูกสาวของนรินทร์น่าจะเกิดขึ้นราวปลายปี พ.ศ.๒๔๗๐ นรินทร์เปลี่ยนตึก ๗ ชั้นทำบ้านให้เป็นวัดแล้วตั้งชื่อว่า “วัตร์นารีวงศ์” แปลว่าตระกูลของผู้หญิง ใช้คำว่าวัตร์หมายถึงวัตรปฏิบัติแทนคำว่าวัด ต่อมามีสตรีอีก ๖ คนเต็มใจออกบวช รวมเป็นสามเณรีทั้งหมด ๘ รูป เป็นสามเณรีอาวุโส ๔ รูป สามเณรีรุ่นเยาว์ ๔ รูป อุปัชฌาย์ถูกปิดเป็นความลับไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นใคร เมื่อบวชแล้วมีการเดินทางไปปรากฏตัวสร้างความเข้าใจในจังหวัดใกล้เคียง เช่น พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี สระบุรี โดยทางเรือซึ่งเป็นการคมนาคมที่สะดวกที่สุดในสมัยนั้น เมื่อการบวชหญิงให้เป็นสามเณรีเป็นข่าวแพร่สะพัดออกไป หนังสือพิมพ์หลายฉบับไม่ว่าจะเป็น ไทยหนุ่ม ศรีกรุง หลักเมือง ต่างพากันใส่ไข่โจมตีว่าการบวชสามเณรีของลูกสาวนายนรินทร์เป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนาควรมีการกำจัดหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
 
              ด้วยการตีไข่ใส่ข่าวของหนังสือพิมพ์ เดือนมิถุนายนปีถัดมาพระสังฆราชในเวลานั้นคือกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์จึงออกประกาศแถลงการณ์คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๔๗๑ ห้ามพระภิกษุสามเณรบวชหญิงให้เป็นสามเณรี-ภิกษุณี ใครบวชให้มีความผิดถือเป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนา แถลงการณ์คณะสงฆ์ฉบับนี้ออกมาเพื่อกันมิให้มีการบวชสามเณรีเพิ่มขึ้นและยังกันมิให้สามเณรีอุปสมบทขึ้นเป็นภิกษุณี แต่แถลงการณ์ฉบับนี้ไม่มีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายวัตร์นารีวงศ์ คณะสามเณรีจึงอยู่กันต่อมา
 
              นรินทร์เริ่มเห็นว่าเหตุการณ์ไม่สู้ดีจึงนำเรื่องยกที่ดินและบ้านของตนให้กับแผ่นดินซึ่งเคยทำเรื่องไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๐ แต่ยังไม่มีคำตอบจากราชการด้วยการนำกลับมาปัดฝุ่นทำเรื่องใหม่อีกครั้งโดยเสนอยกที่ดินและวัตร์นารีวงศ์ให้เป็นสมบัติของสงฆ์พร้อมด้วยสามเณรีอีก ๘ รูปเป็นบรรพชิตพำนักในอาราม ส่วนตนกับครอบครัวจะขอเช่าอยู่ปีละ ๑ บาทโดยมัดจำค่าเช่า ๙๙ บาทเป็นค่าเช่าล่วงหน้า ๙๙ ปี นรินทร์ทำเช่นนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับคณะสงฆ์เพื่อน้อมเอาสังฆะสามเณรีและวัตร์นารีวงศ์ไปไว้ใต้ปีกคณะสงฆ์หวังคณะสงฆ์จะให้การคุ้มครองและยอมรับ นรินทร์ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงธรรมการแต่กระทรวงธรรมการกลับปฏิเสธให้นรินทร์นำเรื่องนี้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชๆ มีรับสั่งให้รอมติที่ประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อประชุมเสร็จมีมติออกมาว่ามหาเถรสมาคมไม่อาจยอมรับข้อเสนอของนรินทร์ เนื่องจากนรินทร์ประพฤติตนอุตรินอกรีตเป็นปฏิปักษ์แก่คณะสงฆ์ ไม่ต้องการคบหานายนรินทร์ในกาลทุกเมื่อ
 
              เหตุการณ์ยิ่งกดดันเมื่อพระภิกษุอาจ วัย ๖๙ ปี พรรษา ๒๒ สายธรรมยุติ จำพรรษาอยู่ที่เขาย้อย จ.เพชรบุรี ถูกปักปรำว่าเป็นอุปัชฌาย์ให้ลูกสาวนรินทร์ ท่านถูกจับสึกโดยไม่มีการไต่สวน ภายหลังท่านพิสูจน์ว่าท่านมิได้เป็นอุปัชฌาย์จึงได้กลับเข้าไปบวชใหม่
 
              คณะสามเณรียังคงดำรงความเป็นบรรพชิตอยู่เช่นนั้นอย่างต่อเนื่องถึง พ.ศ.๒๔๗๒ มีการนำเรื่องสามเณรีเข้าสู่ที่ประชุมอภิรัฐมนตรีหลายรอบทำให้สถานการณ์กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เป็นเหตุให้สามเณรีอาวุโส ๔ รูปตัดสินใจชิงสึกไปเสียก่อนเพราะเกรงจะมีภัย เหลือเพียงสามเณรีรุ่นเยาว์ ๔ รูปยังคงดำรงสมณะเพศ จนกระทั่งวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๒ เจ้าหน้าที่ได้มาจับกุมสามเณรี ๔ รูปถึงที่วัตร์เพื่อไปว่าความกันในชั้นศาลที่ศาลเมืองนนทบุรี ผลของคดีศาลตัดสินให้สึก สามเณรี ๓ รูปยอมเปลี่ยนชุดโดยดีแต่สามเณรีสาระไม่ยอม เธอพยายามขัดขืนจนในที่สุดผู้คุมสั่งให้นักโทษหญิงร่างใหญ่สองคนพากันจับเธอกดพื้นแล้วดึงจีวรออกในที่สาธารณะ เธอต่อสู้จนเป็นลมสลบไป นรินทร์เห็นว่าทางราชการทำเกินกว่าเหตุ จึงเขียนโทรเลขไปกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ เพื่อให้ทรงทราบความรุนแรงที่เกิดขึ้นหวังความเมตตาขณะนั้นทรงเสด็จประพาสชวาแต่ก็ไม่มีผลอะไร สามเณรีสาระถูกจับให้เปลี่ยนชุดและถูกจำคุกเพียงรูปเดียวเป็นเวลา ๗ วันข้อหาไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งศาล
 
              หลังจากถูกตัดสินให้สึกคงเหลือเพียงสามเณรี ๓ รูป คือสาระ จงดีกับสามเณรีรุ่นเยาว์อีก ๑ รูปยังคงดำรงเพศบรรพชิตเช่นเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเธอทั้งสามได้เปลี่ยนชุดเป็นนักบวชแบบญี่ปุ่น ต่อมาก็กลับไปห่มจีวรแบบเดิม เมื่อสามเณรีสาระอายุครบ ๒๐ ก็อุปสมบทเป็นภิกษุณีโดยไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นอุปัชฌาย์ สามเณรีและภิกษุณีดำรงอยู่ต่อมาอีก ๒-๓ ปีในที่สุดก็ลาสิกขา เนื่องจากพระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ ๗ มีใจความว่าให้นรินทร์เลิกล้มความคิดฟื้นฟูภิกษุณีเสียพระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยซึ่งเวลานั้นยังเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
 
              เหลือเพียงตำนานสามเณรี-ภิกษุณีในภาพถ่ายเก่าๆ กับความทรงจำของคนร่วมสมัยที่เกิดยุคเดียวกับนรินทร์ ภาษิต ซึ่งก็แทบไม่เหลือใครอีกแล้ว...