พระเครื่อง

'พุทธบริษัท๔'ตื่นรู้อย่างไรในยุคดิจิตอล

'พุทธบริษัท๔'ตื่นรู้อย่างไรในยุคดิจิตอล

10 ส.ค. 2555

จากพุทธชยันตีถึงสังฆชยันตี ๒,๖๐๐ ปี 'พุทธบริษัท๔'ตื่นรู้อย่างไรในยุคดิจิตอล: วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส

            การเฉลิมฉลองปีพุทธชยันตี อันเป็นมหาธัมมาภิสมัย ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ นั้น ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้ใช้ชื่องานว่า “พุทธชยันตี” และทำให้ชาวพุทธในประเทศไทยได้ยินชื่อพุทธชยันตีในวงกว้างเป็นครั้งแรก  แท้ที่จริงแล้วประเทศอื่นๆ ได้ใช้ชื่อ “พุทธชยันตี” หรือ Buddha Jayanti มานานแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งการเฉลิมฉลองปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ แต่ครั้งนั้นประเทศไทยใช้ชื่องานว่าการเฉลิมฉลอง “๒๕ พุทธศตวรรษ” จึงทำให้ชาวพุทธในประเทศไทยไม่ได้รู้จักคำว่าพุทธชยันตีเหมือนกับประเทศอื่นๆ

              พุทธชยันตี อินเดียเนปาลว่า Buddha’s Birthday ไฉนไทยว่า Buddha’s Victory

              แม้จะฉุกละหุกและล่าช้าไปมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เตรียมงานล่วงหน้าและจัดงานต่อเนื่องถึง ๓ ปี เพราะกว่าที่มหาเถรสมาคมและรัฐบาลได้เห็นพ้องกันจนมีมติครม.ให้จัดงาน“พุทธชยันตี” ก็เมื่อล่วงปี ๒๕๕๕ ไปถึง ๒ เดือนแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ยังได้จัด แต่ก็มีปัญหาว่าจะแปลและอธิบายที่มาของคำว่า “พุทธชยันตี” นี้อย่างไรดี

              แท้จริงแล้วคำว่าพุทธชยันตีมาจากคำ ๒ คำนำมารวมกัน คือ คำว่า พุทธ + ชยันตี  (Buddha + Jayanti) คำว่า “พุทธ” นั้นตรงตัวคือหมายถึง พระพุทธเจ้า ส่วนคำว่า “ชยันตี” นี่เองที่เป็นประเด็นปัญหา  ความจริงแล้วในทางภาษาศาสตร์ ทั้งภาษาฮินดี เนปาลี และสิงหล ซึ่งต่างก็มีต้นกำเนิดมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต สามารถแปลความหมายได้ ๓ ประการ ได้แก่  (๑) Jayanti แปลว่า Birthday หรือ วันเกิด นั่นเอง (๒) Jayanti แปลว่า Victory หรือ ชัยชนะ และ (๓) Jayanti แปลว่า Anniversary, Jubilee หรือการครบรอบ/งานฉลองครบรอบ เมื่อเครือข่ายพุทธชยันตี-สังฆะเพื่อสังคม ได้ริเริ่มนำคำนี้มาใช้เมื่อกว่า ๒ ปีมาแล้ว ก็พิจารณาเห็นว่า หากเราแปลตามที่นิยมกันอยู่ในอินเดียเนปาลว่าเป็น Buddha’s Birthday หรือวันประสูตินั้น ก็จะเกิดปัญหา ว่าจะไม่ใช่การเฉลิมฉลอง ๒,๖๐๐ ปี ซะแล้ว จะต้องเป็น ๒,๖๓๕ ปี หรือหากแปลเพียงว่าการฉลองครบรอบ ก็ไม่มีนัยเป็นพิเศษอะไร 

              นอกจากนี้การแปล “ชยันตี” ว่า “ชัยชนะ” ยังสอดคล้องกับหลักทางภาษาบาลีที่มีรากศัพท์มาจาก “ชิ” ธาตุ หรือ “ชย” ที่แปลว่าชัยชนะ ดังนั้น “พุทธชยันตี” จึงหมายถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่อกิเลสและหมู่มารทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็คือ “การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” นั่นเอง และแท้ที่จริงแล้วการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็เป็น “การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า” ด้วย  จึงสามารถอนุโลมให้ใช้ในสำนวนแบบไทยๆ ว่าเป็น “วันเกิดของพระพุทธเจ้า” (ไม่ใช่วันประสูติ) ได้อีกนัยหนึ่งเช่นกัน
 
              ดังนั้น พุทธชยันตี สู่ สังฆะชยันตี ๒,๖๐๐ ปีจึงควรจะไปให้ถึง “ชัยชนะ” ของทั้งสังคมด้วย กล่าวคือ การเอาชนะกิเลสหรือความไม่ดีของตนเอง อันเป็นการ “ตื่นรู้” หรือทำให้เกิดภาวะแห่ง “พุทธะ” จากภายใน อันถือเป็นการฉลองพุทธชยันตีด้วยการปฏิบัติบูชา ตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นอกจากชัยชนะจากการตื่นรู้ของบุคคลแล้ว การตั้งเป้าหมายร่วมกันในการเอาชนะอุปสรรคและสิ่งไม่ดีทั้งหลายร่วมกันให้เกิดเป็น “ชัยชนะ” ในระดับครอบครัว หน่วยงาน ชุมชน หรือทั้งสังคม ก็เป็นมิติของการเฉลิมฉลองที่สำคัญยิ่งด้วยเช่นกัน

              ดังตัวอย่างประเทศศรีลังกาที่ได้มีการตั้งเป้าหมายในระดับประเทศและมีการเก็บข้อมูลทำวิจัยให้เห็นว่าการฉลองพุทธชยันตีในประเทศรีลังกาได้ทำให้สังคมดีขึ้น กล่าวคือมีสถิติอาชญากรรมของศรีลังกาลดลงในปีที่มีการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี
 
              ปีนี้ยังมีนัยสำคัญอีกหลายวาระด้วย อย่างเช่น ในวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านไปเมื่อสัปดาห์ก่อนก็เป็นวาระ “สังฆชยันตี” คือวันครบรอบ ๒,๖๐๐ ปีแห่งการเกิดขึ้นของสังฆะ หรือสถาบันสงฆ์ด้วยเช่นกัน คณะสงฆ์เองนั้นก็สมควรได้ใช้โอกาสนี้ มาทบทวนตนเอง มาพิจารณาปรับปรุงจุดอ่อนข้อด้อย ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่สั่งสมหมักหมมในวงการคณะสงฆ์ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความบกพร่องของกระบวนการพัฒนาบุคลากรของคณะสงฆ์ไทย ที่เกิดจากระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ที่ไม่เป็นไปตามธัมมวินัย
 
              หากพุทธบริษัทช่วยกันปฏิรูประบบการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยให้เป็นไปตามธรรมวินัยอย่างจริงจัง ก็จะทำให้คณะสงฆ์ได้รับชัยชนะเป็นปฏิบัติบูชาถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโอกาสปีพุทธชยันตีนี้ได้บ้าง ซึ่งก็จะเป็นการเฉลิมฉลองที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงที่สมควรอนุโมทนายิ่ง
 
              อีกด้านหนึ่ง ในช่วงเข้าพรรษานี้ ยังเป็นวาระพิเศษยิ่งแห่งการครบรอบ ๒,๖๐๐ ปีแห่งการเกิดขึ้นของอุบาสก และอุบาสิกา ที่ถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะ อีกด้วย ชาวพุทธในประเทศไทย จะรู้ตัวหรือไม่ว่า ตนเองนั้นสังกัดอยู่ในสถาบันที่ทรงคุณค่าและเก่าแก่ยิ่งของมวลมนุษยชาติ ที่ผ่านกาลเวลามายาวนานถึง ๒,๖๐๐ ปีแล้ว รู้ตัวหรือไม่ว่า สถาบันอุบาสก และสถาบันอุบาสิกาของตนเอง มีสภาพเป็นเช่นไร? มีความก้าวหน้าหรือถดถอยลงอย่างไรหรือไม่?
 
              ในโอกาสนี้อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายสมควรจะหวนรำลึกทบทวนตนเองว่าเราสมควรจะทำอะไรกันบ้างในโอกาสนี้ หากเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันสงฆ์ ว่าต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ได้หันกลับมาสำรวจตนเองเลยว่าต้องปรับปรุงพัฒนาอะไรบ้างเช่นกัน มันก็ไม่อาจทำให้พระพุทธศาสนาและสังคมไทยเจริญงอกงามดีขึ้นมาได้
 
              “พุทธบริษัท” เป็นมรดกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้มอบเอาไว้ให้รับผิดชอบร่วมกัน  อุบาสกและอุบาสิกา ก็เป็นหุ้นส่วนที่สำคัญต่อพุทธบริษัทนี้ด้วย ใยชาวพุทธในประเทศไทยจึงขี้ตู่หรือเข้าใจเอาเองว่าให้เป็นแต่ภาระธุระของสถาบันสงฆ์เท่านั้น!?!

              ด้วยความที่เป็นห่วงว่าภาครัฐจะมุ่งเฉลิมฉลองพุทธชยันตีด้วยการจังงานใหญ่โตแบบงานอีเวนท์ที่ใช้งบประมาณฟุ่มเฟือยแล้วก็ผ่านไปแบบไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่า หรือไปในทางนำชื่อมาใช้หาประโยชน์ทางธุรกิจแฝงศาสนาแต่เพียงเท่านั้น ทางเครือข่ายพุทธชยันตีฯ จึงได้ประสานภาคีเครือข่ายต่างๆ ให้มีข้อเรียกร้องเสนอไปยังรัฐบาลและมหาเถรสมาคม ในการเฉลิมฉลองพุทธชยันตีที่ต้องเน้นย้ำให้เกิดการปฏิบัติบูชา และขอให้ส่งเสริมการสื่อสารสาธารณะและฟื้นฟูวิถีชาวพุทธในระดับครอบครัว-ชุมชนเป็นสำคัญ จนออกมาเป็นมติมหาเถรสมาคม ที่ ๑๓/๒๕๕๔ ณ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งสรุปเป็นแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน ๓ ประการ ดังนี้

              (๑) สื่อสารวันพระให้เป็นวันแห่งสติ

              คิดค้นวิธีการสื่อสารความดี ให้คนได้ระลึกถึงวันพระในทุกๆ วันพระ เพื่อสร้างให้ชาวพุทธเกิดการเรียนรู้โดยรวมทั้งสังคมไทย ให้เกิดความตระหนักและรู้ในทุกวันพระ ทำให้ วันพระ เป็น วันแห่งสติของสังคมไทย เดือนละ ๔ ครั้ง หรือ ปีละประมาณ ๕๐ ครั้ง

              (๒) ครอบครัวทำบุญร่วมกันทุกสัปดาห์

              มีกิจกรรมในระดับครอบครัวของตนเองหรือระดับส่วนบุคคล ที่ทำให้ได้ทำบุญ หรือเรียนรู้ธรรมะร่วมกัน หรือเป็นกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ทุกวันเสาร์ ทุกวันอาทิตย์ หรือทุกวันพระ ตามความสะดวกและเหมาะสม ประมาณปีละ ๕๐ ครั้ง

              (๓) ทำบุญใหญ่ร่วมกันทุกวันเพ็ญ

              มีกิจกรรมการแสดงออกร่วมกัน ถึงการ “ทำความดีเป็นบุญกุศลครั้งใหญ่”  “ละบาปอกุศลความชั่วครั้งใหญ่” ในระดับหมู่ของครอบครัว ชุมชน หรือหน่วยงานองค์กรของตนเอง ในทุกๆ วันพระที่เป็นวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนละ ๑ ครั้ง หรือ ปีละ ๑๒ ครั้ง

              ปีนี้จึงเป็นโอกาสพิเศษครั้งสำคัญ ที่ทั้งคณะสงฆ์และสถาบันอุบาสกอุบาสิกาจะมาร่วมกันปรับปรุงพัฒนาการศึกษาและปฏิบัติให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยและฟื้นฟูวิถีชาวพุทธกันอย่างจริงจัง และนั่นจะเป็นชัยชนะของพุทธบริษัทที่จะเป็นการปฏิบัติบูชาตามรอยชัยชนะแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง  และหากใครยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรในวาระพิเศษนี้ เครือข่ายพุทธชยันตีฯ ฝากแจ้งมาว่าขอเชิญชวนให้ชาวพุทธทุกท่านมาร่วมกันสวดมนต์ “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ทุกวันพระ เพื่อรำลึกถึงปฐมเทศนาที่มีอายุครบ ๒๖ ศตวรรษ แล้วจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า หัวใจที่พระพุทธเจ้าประกาศธรรมนั้นคืออะไร และเราจะไปถึงแก่นธรรมได้อย่างไร
 
              สาธุ สาธุ อนุโมทามิฯ