พระเครื่อง

'วัดคลองแดน'ธรรม๓คลอง๒เมือง

'วัดคลองแดน'ธรรม๓คลอง๒เมือง

29 มิ.ย. 2555

“วัดคลองแดน”ธรรมสถานแห่งดินแดน "๓ คลอง ๒ เมือง" : ท่องไปในแดนธรรม เรื่อง / ภาพ โดยสุพิชฌาย์ รัตนะ ศูนย์ข่าวภาคใต้

               “คลองแดน คือชื่อลำคลองสายใหญ่อันเป็นดั่งเส้นแบ่งเขตกั้นสองจังหวัด โดยฟากหนึ่งเป็นชุมชนที่วางตัวอยู่ในเขต อ.ระโนด จ.สงขลา ส่วนอีกฝั่งเป็นของชุมชนใน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช แต่ผู้คนทั้งสองแห่งล้วนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน โดยมีวัดคลองแดนเป็นศูนย์กลางที่ผูกเชื่อมโยงสายใยแห่งความกลมเกลียวเอาไว้ตั้งแต่บรรพชนมาจวบจนปัจจุบัน" นั่นคือเรื่องราวที่สะท้อนผ่านคำบอกเล่าของ “พระครูรัตนสุตากร” เจ้าอาวาสวัดคลองแดน รูปปัจจุบัน
 
               วัดคลองแดนแห่งนี้ ตามประวัติจดทะเบียนเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๖ แต่มีหลักฐานในหนังสือบุดโบราณในวัดว่า สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๐ ตั้งอยู่ริมคลองแดน ระหว่างหมู่ ๑ ต.รามแก้ว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช กับบ้านคลองแดน หมู่ ๓ ต.คลองแดน อ.ระโนด จ.สงขลา โดยชาวพุทธสามารถหิ้วปิ่นโตมาฟังเทศน์ ฟังธรรม และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาได้ด้วยการก้าวย่างบนสะพานไม้ที่คนสองอำเภอร่วมใจกันสร้างขึ้นมาตั้งแต่รุ่นพ่อเฒ่าและแม่เฒ่า
 
               ภายในวัดมีหอฉัน เป็นหอไม้ทั้งหลัง สร้างจากไม้เคี่ยม ไม้หลุมพอ และไม้ยาง ด้านหน้าของหอฉันหันหน้าออกสู่คลองแดน ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำสำคัญในอดีต ประมาณอายุหอฉันได้กว่า ๑๐๐ ปี
 
               นอกจากนี้ ยังมีพระทอง พระนาก พระเงิน โดยเฉพาะพระทอง ว่ากันว่าเป็นพระสมัยอยุธยา มีรูปทรงที่สวยงามมาก ก่อนหน้านี้ถูกรมดำปิดรูปทองของจริง กระทั่ง พ.ศ.๒๕๔๘ ได้มีการชำระล้างเช็ดถูพระในวัด มีผู้ใช้เล็บสะกิดไปโดนปากเผยสีทองที่ซ่อนอยู่ภายใน ต่อมาได้นำผ้าชุบน้ำมะขามเปียก ขัดถูกระทั่งรูปทรงสีทองแจ่มจรัสเปร่งประกายกลายเป็นพระพุทธรูปอันเป็นที่เลื่อมใสของชาวคลองแดนอันมาก
 
               ขณะเดียวกัน ยังมี “เรือขุด” เป็นเรือที่ขุดจากไม้ตะเคียนทองทั้งต้น โดยตัวเรือมีความยาว ๑๕.๓๐ เมตร ความกว้าง ๒.๐๖ เมตร สามารถบรรทุกคนได้ประมาณ ๔๐-๕๐ คน สมัยก่อนใช้ในการขนทรายเข้าวัด ย้ายบ้านทั้งหลัง และใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน
 
               พระครูรัตนสุตากร เล่าว่า นอกจากจุดเด่นของวัดคลองแดน ในการเป็นศูนย์กลางของชาวพุทธ ๒ จังหวัดแล้ว "วัดแห่งนี้ยังได้รับการขนานนามว่า เป็นดินแดนสามคลองสองเมือง ซึ่งหมายถึง เป็นจุดตัดของ ๓ สายน้ำสำคัญ นั่นคือ สายน้ำจาก อ.ชะอวด กับ สายน้ำจาก อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช  และสายน้ำจาก อ.ระโนด จ.สงขลา จึงกลายเป็นจุดนำพาผู้คนที่หลั่งไหลมากับการเดินทางพร้อมเรือมาสู่ชุมชนคลองแดน จนทำให้พื้นที่แห่งนี้รุ่งเรืองสุดขีดเมื่อครั้งในอดีต
 
               เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว ชุมชนคลองแดนถือเป็นชุมชนใหญ่ในยุคสมัยที่ความสะดวกสบายในการเดินทางโดยถนนยังไม่เกิดขึ้น การสัญจรทางน้ำทำให้ที่แห่งนี้เป็นชุมทางสำคัญ มีการเกิดขึ้นของโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ รองรับผู้มาเยือน มีร้านทอง ๓ แห่ง มีตลาดน้ำที่ใหญ่ที่สุด เพราะมีสินค้าเกษตร เครื่องเทศ ยา รวมถึงเสื้อผ้า เดินทางมากับพ่อค้ามาพักก่อนจะเดินทางไปยังสถานีเป้าหมาย ด้วยเหตุนี้ทำให้ “วัดคลองแดน” เป็นศาสนสถานที่พ่อค้าต่างแวะมาทำบุญจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
 
               กระทั่งวันหนึ่ง การเจริญในด้านคมนาคมทางบกส่งผลให้ชุมชนคลองแดนถึงคราวซบเซา เมื่อไม่มีการขนส่งและเดินทางโดยเรือเหมือนอดีต ความรุ่งเรืองริม ๒ ฝั่งคลองล่มสลาย ผู้คนต่างพากันย้ายถิ่นฐานไปที่อื่น จนในที่สุด ทุกอย่างค่อยๆ ทรุดโทรม โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมริมน้ำถูกกาลเวลาคร่าความงดงามจนแทบไม่หลงเหลือคราบไคลแห่งความงามเอาไว้อีกเลย
 
               “ไม่เว้นแม้กระทั่งวัดคลองแดน ก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เพราะวันที่อาตมามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๕ สิ่งที่เห็นคือ สภาพความรกร้างเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง และยังมีหญ้ารกทึบ  แต่ยังพอหลงเหลือโครงสร้างที่บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของเมืองแห่งสามคลองสองเมืองอยู่บ้าง” พระครูรัตนสุตากร เล่า
 


วัดนี้มีตลาดน้ำหล่อเลี้ยงชีวิต
 
               “คลองแดน” มีชื่อเสียงในเรื่องของตลาดน้ำ ดังนั้นการจะฟื้นคืนชีพชุมชนริมน้ำนั่นคือ การนำบรรยากาศเก่าๆ กลับมาเป็นกิจกรรมกระตุ้นความร่วมมือของชุมชน “พระครูรัตนสุตากร” จึงเดินทางไปขอให้นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย เดินทางมาทำวิจัยโดยฝังตัวอยู่ในพื้นที่นาน ๖ ปี ช่วยกันรื้อฟื้นภูมิปัญญาทางสถาปัตยกรรมชุมชน สืบทอดวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำและคลองแดน ที่เป็นทางผ่านไปสู่เมืองนครศรีธรรมราช ที่นี่มี ๓ คลองบรรจบกัน เชื่อมดินแดน ๒ จังหวัด  วิถีของคนริมน้ำมีทุนมากพอที่จะนำมาต่อยอดด้วยการทำ "ตลาดน้ำคลองแดน" จนวันนี้ภาพความงดงามในอดีตได้กลับมาปรากฏอีกครั้ง
 
               เจ้าอาวาสวัดคลองแดน เป็นพระรูปเดียวในสมัยนั้นที่มาจำวัดแห่งนี้ และด้วยความที่มีพื้นฐานการศึกษาด้านศิลปศาสตร์และสถาปัตยกรรม จึงค้นคว้าศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีต จากนั้นจึงเริ่มติดต่อนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเพื่อฟื้นฟูวัดแห่งนี้ เป็นเวลาเกือบ ๓ ปี ที่ทำหน้าที่เพียงลำพังในติดต่อประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอความช่วยเหลือ รวมถึงปลุกพลังชุมชนให้ร่วมพลิกฟื้นคืนชีวิตให้กับเมืองที่เคยรุ่งเรืองอีกครั้ง
 
               “พระครูรัตนสุตากร” ใช้หลักการบริหารจัดการที่เรียกว่า “วัชระ” นั่นคือ “วัด ชุมชน โรงเรียน” โดยเริ่มจากวัด จากนั้นดึงชุมชนเข้าร่วมก่อนจะขยายแนวคิดไปยังรั้วสถานศึกษา โดยนำหลักทางศาสนาเข้ามายึดโยง อาศัยความเป็นชุมชนวิธีพุทธ ที่ผู้คนให้ความเคารพศรัทธา และอยู่ในหลักศาสนธรรมเป็นฐาน สานความร่วมมือให้ชุมชนเข้มแข็งตลอดระยะ ๑๐ ปีเต็ม จุดเริ่มต้นจากวัดคลองแดน ที่ฟื้นฟูศาสนสถานที่ทรุดโทรมได้กลายเป็นแรงกระเพื่อมที่ทำให้ชุมชนริมฝั่ง ๓ คลอง ๒ เมือง กลับมาคึกคักอีกหน โดยการฟื้นคืนชีพของตลาดคลองแดน บ้านไม้ทรงไทยเก่าๆ ริมน้ำถูกขัดศรีฉวีวรรณจนกลายเป็นแลนด์มาร์คที่ทำให้ถนนทุกสายของกลุ่มนักท่องเที่ยวมุ่งตรงมายังชุมชนแห่งนี้อีกครั้ง