พระเครื่อง

เนื้อชินพระพิมพ์นั่งห้อยพระบาทกรุดงสัก

เนื้อชินพระพิมพ์นั่งห้อยพระบาทกรุดงสัก

17 พ.ค. 2555

พระพิมพ์นั่งห้อยพระบาท กรุดงสักเนื้อชินตะกั่วสนิมแดง จ.กาญจนบุรี : สาระสังเขปพระเนื้อชิน โดยชาติ วิศิษฏ์สรอรรถ

              ศิลปทวารวดี มีทั้งสลักจากหิน หล่อด้วยสัมฤทธิ์ ปูนปั้น และดินเผา ที่พบตามสถานที่ต่างๆ ในปัจจุบัน ส่วนมากเป็นงานประติมากรรมลอยตัวขนาดใหญ่ สลักด้วยหินในตระกูลหินทราย หินปูน และหินชีสต์ ส่วนปูนปั้นและดินเผาจะเป็นงานประติมากรรมที่มีขนาดเล็กลงมา เล่าเรื่องประดับศาสนสถานเป็นหลัก ซึ่งเราจะพบหลักฐานเกือบทุกแห่งที่วัฒนธรรมทวารวดีรุ่งเรืองไปถึง ตัวอย่างที่ค้นพบได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เมืองนครปฐม โบราณวัตถุเหล่านี้ชี้ชัดเจน แสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะของศิลปทวารวดีอย่างแท้จริง ได้แก่ กลุ่มพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาทแบบยุโรป พบที่วัดพระเมรุ จ.นครปฐม เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ สลักจากหินซึ่งมีทั้งหมด ๕ องค์ องค์หนึ่งประดิษฐานที่ลานประทักษิณด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์ องค์หนึ่งประดิษฐานในพระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์ องค์อื่นๆ อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา และองค์สุดท้าย ประดิษฐานในโบสถ์น้อย ที่วัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา

               พระทั้งหมดนี้สร้างมาตั้งแต่ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของทวารวดี และพบอยู่ ณ เมืองนครปฐม ซึ่งคงจะเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของอาณาจักรในสมัยนั้น
 
               อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาททรงแสดงธรรม ที่ปรากฏอยู่ในประติมากรรมนูนต่ำ แบบเล่าเรื่องราว คือ ภาพสลักบนฐานธรรมจักร ตอนแสดงปฐมเทศนา ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ 
 
               การสำรวจทางโบราณคดีที่ผ่านมา พบหลักฐานแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีว่า อยู่ในเขตที่ราบลุ่มภาคกลางตามลุ่มแม่น้ำหลายสาย ที่เห็นเด่นชัดคือลุ่มแม่น้ำแม่กลอง-ท่าจีน ซึ่งมีชุมชนอาศัยมาแล้วตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ จนถึงสมัยทวารวดี ชุมชนเหล่านี้อาจตั้งอยู่ในเส้นทางการค้าในสมัยโบราณ เช่น เมืองนครไชยศรี เมืองกำแพงแสน ของ จ.นครปฐม, เมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี, เมืองคูบัว จ.ราชบุรี, เมืองพงตึก จ.กาญจนบุรี เป็นต้น
 
               ต้นแม่น้ำแม่กลอง คือ แควน้อย และแควใหญ่ จากหุบเขาใน จ.กาญจนบุรี การขยายตัวของชุมชนบนลุ่มแม่น้ำนี้ก็ชัดเจนขึ้น อีกแห่งที่พงตึก อ.ท่ามะกา อ.ทองผาภูมิ ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มักเรียกในยุคนั้นว่า ทวารวดี นั่นเอง

               จ.กาญจนบุรี จึงเป็นแหล่งพำนักของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ และเป็นเมืองโบราณในยุคทวารวดี ลพบุรี และอู่ทอง โดยลำดับ จนกระทั่งเป็นจังหวัดหนึ่งของเมืองไทยมาจนทุกวันนี้
 
               จ.กาญจนบุรี จึงมีการขุดพบโบราณวัตถุต่างๆ กันมากมาย ในหลายยุคหลายสมัย ที่ขุดพบได้ในยุคสมัยทวารวดี ที่มีอายุเก่ามากถึงร่วม ๑,๐๐๐ ปี ในลักษณะพระเครื่องที่เป็นพระกรุ มีการพบพิมพ์ปางแบบพระนั่งห้อยพระบาทแบบยุโรป คือ พระพิมพ์นั่งห้อยพระบาท ขุดพบได้ที่ กรุดงสัก และที่ กรุพระแท่นดงรัง เป็นพระที่มีขนาดใหญ่โต ตามความนิยมของคนโบราณในยุคนั้น ที่นิยมสร้างไว้เพื่อสืบทอดพระศาสนา มีขนาดใหญ่กว้าง ๓.๕ ซม. สูง ๗.๕ ซม.
       
               พระพิมพ์นั่งห้อยพระบาท ที่ขุดพบที่ จ.กาญจนบุรี พุทธลักษณะ เป็นพระเนื้อชินตะกั่วสนิมแดง พระที่เทหล่อออกมาค่อนข้างหนา แบบมีมิติความลึกมาก ถึงแม้องค์พระจะไม่มีลวดลายอะไรมากนัก และไม่ปรากฏพระพักตร์ให้เห็น ชัดเจน แต่องค์พระกลับมีรูปทรง คมลึก ให้เห็นพุทธลักษณะที่ประทับนั่งห้อยพระบาทอย่างชัดเจน ยกพระหัตถ์ทั้งสองประสานกันตรงกลางพระอุระ ประทับอยู่บนแท่นฐานตรงสองชั้น ส่วนพระบาททั้งคู่นั้น วางอยู่บนฐานตรงเล็กๆ รองรับคล้ายแท่นที่เป็นชั้นด้านล่างอีกชั้นหนึ่ง โดยมีซุ้มเรือนแก้วที่เรียบง่าย แต่แลดูบึกบึนครอบคลุมองค์พระทั้งองค์ จากด้านบนลงมา มีโคนเสาซุ้มด้านล่างยาวมาบรรจบกันกับฐานด้านบนสุด และยังครอบคลุมพระบาทด้านล่างสุดแบบมีลวดลายขีดเส้นตรง ๓ คู่ ระหว่างพระบาททั้ง ๒ ข้างปรากฏเด่นชัดเจน    องค์พระทั้ง ๒ ด้าน มีไขขาวเหลืองอย่างหนา ที่ผสมดินเก่าโบราณสีออกแบบดินที่แห้งตายไม่เงามันวาว เคลือบคลุมสนิทแน่นอยู่ตามกาลเวลาที่ผ่านมาถึง ๑,๐๐๐ ปี 
      
               พระในยุคทวารวดีนี้ ด้านหลังจะไม่มีลายผ้าใดๆ ปรากฏให้เห็นเป็นแบบยุคลพบุรี หรือในแบบยุคของอู่ทอง กลับกลายเป็นลายตะปุ่มตะป่ำ จากการยุบตัวของเนื้อพระตอนเทหล่อ ที่นูนสูงต่ำไม่เท่ากันเต็มทั่วด้านหลัง แลดูแล้วมีลักษณะสวยงามคลาสสิกเร้าอารมณ์ คล้ายม้วนของเกลียวคลื่นน้ำที่พัดกระจายเป็นหย่อมเล็กๆ 
 
               พระที่มีพุทธศิลป์ใกล้เคียงกันมาก คือ พระพิมพ์ซุ้มพุทธคยา กรุท่าหวี ซึ่งเป็นพระในยุคทวารวดี ที่มีเนื้อพระ ชนิดเดียวกัน คือ แบบเนื้อชินตะกั่วสนิมแดงที่มีเนื้อหาไม่ออกทางสีแดง ยังค่อนข้างจะเป็นสีดำเทาๆ มากกว่า นอกจากนี้ พระทั้ง ๒ กรุนี้ ยังมีสีของไข และคราบดินขี้กรุตามอายุเก่าแก่มากๆ ของพระยุคเดียวกัน พร้อมทั้งมีขนาดใหญ่โตที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการขุดพบได้ที่เมืองกาญจนบุรีเช่นเดียวกัน

               พุทธคุณ พระพิมพ์นั่งห้อยพระบาท กรุดงสัก และที่ กรุพระแท่นดงรัง เนื่องจากพระมีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมาก จึงนิยมไว้บูชาประจำบ้านเรือน ชาวบ้านรุ่นเก่าๆ ถือเป็นวัตถุมงคลโบราณของเก่า ๑,๐๐๐ ปี ชนิดที่มีเรื่องเล่าลือกันว่า พระที่มีอายุมากๆ เช่นนี้ พระของจริงที่เป็นพระแท้ มีประสบการณ์แคล้วคลาดทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างเหลือเชื่อ มีท่านที่เป็นไต้ก๋งเรือบูชาไว้ประจำเรือ รอดจากภัยธรรมชาติมาได้ ในช่วงที่นำเรือออกหาปลา เจอเข้ากับพายุคลื่นลมแรง แบบว่า เรือน่าจะจมลงก้นทะเล แต่ทว่าเรือสามารถกลับเข้าฝั่งอย่างปาฏิหาริย์ ทั้งที่เรือลำอื่นๆ เป็นเรือใหม่แข็งแรงกว่า และบางลำใหญ่กว่า กลับจมน้ำลงสู่ทะเลลึก  
      
               ถึงแม้จะเป็นพระใหญ่ ราคาเช่าบูชากลับยังค่อนข้างสูงเพราะมีความนิยมกันมากกว่า เมื่อเทียบกับพระแผงใหญ่อื่นๆ โดยทั่วไป ด้วยเหตุจากอายุที่สูงมากขององค์พระ และมีพุทธคุณแคล้วคลาดดังกล่าวมาแล้วก็เป็นได้ 

               พระพิมพ์นั่งห้อยพระบาท พระสภาพไม่สมบูรณ์พระหล่อมาไม่เต็มองค์ ราคาเช่าหาประมาณ ๒-๓ หมื่นบาท พระที่สวยสมบูรณ์เทหล่อมาเต็มองค์ ไม่เว้าแหว่ง พระคมชัดลึก พร้อมสภาพที่มีดินขี้กรุหนาและสวยงามติดเต็มทั่วองค์พระทั้ง ๒ ด้าน ราคาจะอยู่ที่หลักหมื่นกลางๆ ขึ้นไป ตามแต่สภาพความสวยของพระแต่ละองค์ โดยไม่เน้นว่าจะเป็นพระของ กรุดงสัก หรือ กรุพระแท่นดงรัง ก็ตาม เพราะเป็นพระที่หาพบได้ยากมากๆ ทั้ง ๒ กรุนั่นเอง