พระเครื่อง

ยันต์บารมี๓๐ทัศสุดยอดมหายันต์

ยันต์บารมี๓๐ทัศสุดยอดมหายันต์

02 เม.ย. 2555

ยันต์บารมี๓๐ทัศสุดยอดมหายันต์พุทธคุณครอบจักรวาล : ชั่วโมงเซียน โดย อ.โสภณ

               บารมีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงให้ศาสนิกชนสร้างให้เต็มก็คือ สร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้เต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์ บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้นพระบารมี เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระอุปบารมี และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่า พระปรมัตถบารมี หรือบารมี ๓๐ ทัศ 
   
               บารมี ๓๐ ทัศ  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แบ่งย่อยเป็น ๓ ขั้น ได้แก่ บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ และบารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต
   
               “ตำรับวิชาบารมี ๓๐ ทัศ” นี้เป็นตำราของพระโบราณจารย์ยุคเก่าตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เป็นสรรพวิชาที่ศักดิ์สิทธิ์สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน โบราณจารย์จารึกไว้ว่า พระเวทวิชาบารมี ๓๐ ทัศ หรือพระบารมี ๓๐ ทัศ เป็นพระบารมีที่พระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ ได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาจนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องประกอบไปด้วย ทานบารมี ๓ ขั้น ศีลบารมี ๓ ขั้น เนกขัมมะบารมี ๓ ขั้น ปัญญาบารมี ๓ ขั้น วิริยะบารมี ๓ ขั้น ขันติบารมี ๓ ขั้น สัจจะบารมี ๓ ขั้น อธิษฐานบารมี ๓ ขั้น เมตตาบารมี ๓ ขั้น และอุเบกขาบารมี ๓ ขั้น รวมกันเป็นบารมี ๓๐ ทัศ
   
               ส่งผลให้อุดมไปด้วยอิทธิคุณวิเศษมากมายเหลือคณานับ หญิงใดชายใด เด็กหรือผู้ใหญ่ ได้เข้าร่วมพิธีเกี่ยวกับบารมี “๓๐ ทัศ” โดยเฉพาะการเป่ายันต์มหาบารมี ๓๐ ทัศแล้วนับว่าเป็นมหามงคลบารมียิ่งนักสุดจะพรรณนา อีกประการหนึ่งโบราณจารย์ กล่าวไว้ในตำราด้วยว่า วิชานี้เป็นพระคาถาที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช วีรกษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราช ทรงศึกษาเล่าเรียนมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว แล้วอาราธนาก่อนออกทำการ “ยุทธหัตถี” กับมหาอุปราชา จนทำให้ทรงมีชัยชนะ ทรงปกป้องรักษาบ้านเมืองไว้ได้ สมัยโบราณตีราคาพระคาถานี้เท่ากับค่าควรเมืองเลยทีเดียว
   
               ต่อมาสรรพวิชานี้ได้รับการสืบทอดกันมา ปัจจุบันตำราพระคาถานี้ได้ตกทอดมาถึง หลวงพ่อรักษ์ ได้เล็งเห็นความสำคัญ จึงได้ศึกษาและพลิกฟื้นตำรับวิชานี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการสืบทอดวิชาเก่าแก่และขจัดปัดเป่าความทุกข์ให้แก่ลูกศิษย์ทั้ง หลาย
   
               ด้วยความสำคัญแห่ง บารมี ๓๐ ทัศ นี้เองเป็นปฐมเหตุในคติโบราณประเพณีถือว่า ยันต์บารมี ๓๐ ทัศ เป็น "สุดยอดมหายันต์” และมีอุปเท่ห์ที่ว่า "พุทธคุณครอบจักวาลใช้ดีทุกด้าน" จึงเป็นผลให้พระเกจิอาจารย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อทำผ้ายันต์มักจะใส่ยันต์บารมี ๓๐ ทัศ ไปด้วยเกือบทุกสำนัก ส่วนการใส่ลงบนเหรียญนั้น ด้วยเหตุที่ยันต์จำนวนมากและการทำเหรียญในอดีตยังไม่มีเทคนิคที่ทำให้ยันต์คมชัดเช่นปัจจุบัน จึงไม่ค่อยพบยันต์บารมี ๓๐ ทัศ
   
               สำหรับเหรียญที่นำมาเป็นตัวอย่างอธิบายยันต์ เป็นเหรียญจัดสร้างโดย หลวงพ่อรักษ์ อนาลโย ด้วยความเชี่ยญชาวเรื่องยันต์บารมี ๓๐ ทัศ ท่านมักจะนำมาเป็นยันต์หลังพระเครื่องที่ท่านจัดสร้าง ทั้งที่เป็นเนื้อโลหะและเนื้องผง ด้วยเหตุนี้เองเหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์นิยมเรียกนามท่านว่า “หลวงพ่อรักษ์ ๓๐ ทัศ” เจ้าตำรับวิชาตะกรุดมหาบารมี ๓๐ ทัศ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส วิปัสสนา ต.ลาดบัวหลวง อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
   
               ๑.นะโม พุท ธา ยะ (พระเจ้า ๕ พระองค์) กึ่งกลางเหรียญ เขียนซ้อนในลักษณะคล้ายๆ ยันต์พุทธซ้อน แต่เป็นคนละยันต์ พุทธใช้ตัว พุทธเขียนซ้อนกัน ๓ ตัว ต้นตำรบเป็นของสังฆราชแพวัดสุทัศน์ฯ
   
               ๒.แถวล่าง คือ หัวใจพระฉิม หรือ พระสิวลีที่ว่า นะ ชา ลี ติ
   
               ๓.ยันต์ที่ล้อมรอบ คือ ยันต์บารมี ๓๐ ทัศ ซึ่งเป็นพระคาถาที่สืบเนื่องมาจากพระพุทธศาสนา พุทธคุณดีทุกทาง ทั้งนี้มีอยู่ ๔ วรรค คือ ๑.อิ ติ ปา ระ มิต ตา ตึง สา (คำบารมี ๓๐ ทัศ บาทแรก) ๒.อิ ติ สัพ พัญ ญู มา คะ ตา (คำบารมี ๓๐ ทัศ บาทที่ ๒) ๓.อิ ติ โพ ทิ มะ นุป ปัตโต (คาถาบารมี ๓๐ ทัศ บาทที่ ๓) ๔.อิ ติ ปิ โส จะ เต นะโม (คาถาบารมี ๓๐ ทัศ บาทที่ ๔)
   
               ๔.นะ มะ อะ อุ (เหนือพระเจ้า ๕ พระองค์ )เป็นแก้ว ๔ ดวงที่หนุนให้คาถาตัวอื่นเข้มขังมากขึ้น เรียกว่า “หนุนธาตุ” ใช้ทางแคล้ว คลาด หมาอุด และ คงกระพัน
   
               ๕.นะ มะ พะ ทะ (ด้านซ้ายของผู้อ่าน) หัวใจธาตุ ๔ คือ น้ำ ดิน ไฟ ลม
   
               ๖.จะ พะ กะ สะ (ด้านขวาของผู้อ่าน) ธาตุพระกะระณี ซึ่งมักใช้ คู่กับ หัวใจธาตุ ๔ และ พระเจ้า ๕ พระองค์ รวมเรียกเป็นคาถาหัวใจ ๑๐๘ โดยเริ่มจาก นะโม พุท ธา ยะ นะ มะ พะ ทะ จะ พะ กะ สะ


หัวใจพระรัตนตรัย


               หัวใจพระคาถา คือ บทย่อ ส่วนย่อ โดยนำหลักสำคัญ หลักแห่งความหมาย แห่งพระคาถาบทใหญ่นั้นๆ  ซึ่งถอดออกมาให้จดจำได้ง่าย หรือเพื่อนำมาบริกรรมให้ได้ใจความมากขึ้น แต่ยังคงได้ความหมายหรือใจความสำคัญแห่งพระคาถาบทเดิมอยู่

               หัวใจพระคาถา ที่โบราณาจารย์ใช้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันล้วนมาจากบทใหญ่ของบทส่วนมนต์ใด อยู่ส่วนในของบทนั้นๆ ซึ่งโดยส่วนมากหัวใจพระคาถาเหล่านั้น จะถูกถอดมาจากบทพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เช่น หัวใจนวหรคุณ หัวใจพระรัตนตรัย หัวใจพาหุง เป็นต้น ด้านหน้า     ยันต์ด้านหน้าเหรียญหลวงพ่อรักษ์ ได้ใส่ยันต์ หัวใจพระรัตนตรัย ที่ว่า “อิ สวา สุ” ซึ่งย่อมาจาก พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เช่น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท ก็ใช้ยันต์ตัวนี้ในการบริกรรมเสกวัตถุมงคล โดยบริกรรมควงกัน ๓ บท คือ “อิ สวา สุ สุ สวา อิ สวา สุ อิ” กลายเป็นพระคาถาคุ้มกันภัย เช่นเดียวกับ คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ที่ว่า นะโม พุท ธา ยะ มักจะบริกรรมถอยหลังที่ว่า “ยะ ธา พุท โม นะ” การบริกรรมคาถาถอยหลังเพื่อให้เกิดสมาธิ

    อิ มาจาก บทพระพุทธคุณ ๕๖ คือ อิติปิโส....
    สวา  มาจาก บทพระธรรมคุณ ๓๘  คือ สวาขาโต....
    สุ  มาจาก บทพระสังฆคุณ ๑๔  คือ สุปะฎิปัณโน....
   
               รวมกันคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบองค์แห่งพระรัตนตรัย และรวมคุณแห่งเลข ก็จะได้ ๑๐๘ เท่ากับบทอิติปิโสรัตนมาลา ๑๐๘ 
   
               โดยใช้ “อุ” ตอกเป็นโค้ตไว้ที่จีวร เฉพาะตัว “อุ” มีอุปเท่หลายอย่าง ทั้งเป็นเมตา ที่ว่า “อุ เมต ตา สัพ พะ เสน่หา นร ปู ชิ โต” ถ้าเป็นมหาอุดให้คาถามหาอุด “อุด ทัง อัด โท”