
'ยอดมนุษย์น้อยอัจฉริยะ'เอ็ม เมืองนนท์
'ยอดมนุษย์น้อยอัจฉริยะ'เอ็ม เมืองนนท์ นักเรียนเซียนพระวัย ๑๗ ปี : เส้นทางนักพระเครื่องโดย...ตาล ตันหยง
หนังสือ “ตามรอยตำนาน ผู้อนุรักษ์พระเครื่องพระบูชาไทย” จัดทำโดย สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย เพื่อแจกเป็นรางวัลพระชนะเลิศแต่ละรายการในงานประกวดพระฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นการนำเสนอภาพพระเครื่องของบรรดาเซียนพระชื่อดัง ๑๔๑ คน ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง ๓๐-๖๐ ปี มีบางคนเท่านั้นที่มีอายุมากกว่านั้น แต่มีอยู่คนหนึ่งมีอายุน้อยที่สุดเพียงแค่ ๑๗ ปีเท่านั้น คือ สหพจ ผมทอง (เอ็ม เมืองนนท์) ลูกชาย สุพจน์ ผมทอง (พจน์ เมืองนนท์) กรรมการบริหารสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย, นายก อบต.องครักษ์ จ.อ่างทอง เซียนพระรุ่นเก่าผู้โด่งดังในวงการพระมานานปี
น้องเอ็ม กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้สนใจพระเครื่องอะไรมากนัก เพราะยังเป็นเด็กอยู่ แต่คุณพ่อพยายามที่จะหัดให้ผมดูพระเป็น เริ่มจากจ้างให้ผมเฝ้าร้านพระของคุณพ่อ ตอนนั้นผมอายุ ๑๐ ขวบ คุณพ่อให้ค่าจ้างวันละ ๒๐๐ บาท ทำงานเฉพาะวันหยุด ตั้งแต่ ๑๐ โมงเช้าถึง ๓ ทุ่ม ชีวิตในวัยเด็กของผมจึงไม่มีโอกาสได้เที่ยวเล่นเหมือนกับเพื่อนๆ ช่วงที่ผมเฝ้าร้าน ถ้าขายพระได้ ผมจะได้เงินส่วนแบ่ง ๑๐% ก็ขายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เงินค่าจ้าง ๒๐๐ บาท กับเงินส่วนแบ่ง ๑๐% คุณพ่อยังไม่จ่ายให้ผม แต่จะเก็บรักษาไว้ให้ พร้อมกับบอกว่า ถ้าไปพบเห็นพระที่ไหนและอยากได้ให้มาเอาเงินที่ฝากไว้นี้ไปซื้อ โดยหุ้นกับคุณพ่อคนละครึ่ง หากขายพระที่ซื้อมาได้ก็จะแบ่งเงินกำไรให้เท่าๆ กัน ส่วนเงินของผมยังคงฝากให้คุณพ่อเก็บไว้เช่นเดิม จนกว่าไปหาซื้อพระองค์ใหม่ ก็ทำตามนี้ทุกครั้งไป”
วันหนึ่ง มีลูกค้าจากสิงคโปร์มาดูพระที่ร้าน ถามว่าเป็นพระอะไร น้องเอ็มตอบตามความเป็นจริงว่า ไม่ทราบ ลูกค้าจึงต่อว่าว่าเป็นลูกเซียนพระแท้ๆ พระพื้นๆ องค์นี้ทำไมถึงไม่รู้จัก
คำพูดนี้ได้จุดประกายให้น้องเอ็มเกิดความคิดขึ้นมาว่า จะต้องเรียนรู้เรื่องพระเครื่องให้ได้ เพื่อจะได้ไม่ให้ลูกค้ามาต่อว่าได้อีก โดยเริ่มสอบถามจากคุณพ่อบ้าง จากผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในสนามพระบ้าง รวมทั้งอ่านจากหนังสือพระเครื่อง และตำราพระต่างๆ หลังจากกลับจากโรงเรียน อ่านหนังสือเรียน ทำการบ้านเสร็จแล้ว ก็จะหาหนังสือพระมาอ่านต่อ
“ทุกวันเสาร์วันอาทิตย์ ผมจะต้องเข้าสนามพระบนห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน เพื่อเฝ้าร้านพระของคุณพ่อ และบ่อยครั้งที่คุณพ่อจะพาผมไปรู้จักกับผู้ใหญ่ในวงการพระ พร้อมกับฝากฝังตัวผมให้ด้วย ผมจึงโชคดีที่ได้รู้จักกับผู้ชำนาญพระเครื่องในแต่ละประเภท ซึ่งทุกคนก็เมตตาและให้โอกาสผมเสมอ ซึ่งผมคิดว่าเราจะต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ รู้จักยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำสวัสดีครับ กับทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนยินดีให้ความรู้ในการดูพระแก่ผู้น้อยเสมอ ขณะเดียวกัน ผมจะเอาเงินที่ฝากคุณพ่อไว้ไปซื้อพระจากผู้ใหญ่ที่รู้จัก ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นพระแท้ นอกจากจะเป็นการผูกมิตรไมตรีอันดีต่อกันแล้ว เรายังได้รับความรู้จากองค์พระที่ซื้อมาอีกด้วย ผมได้เริ่มเรียนรู้วิธีดูพระจากจุดนี้ มีอะไรสงสัยก็ไปถามคนที่ขายพระให้ คำแนะนำที่ถูกต้องและการได้ส่องดูพระแท้องค์จริงเสมอๆ ทำให้ผมซึมซับรับความรู้การดูพระได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนจดจำพระบางประเภทได้ดีในระดับหนึ่ง” น้องเอ็ม กล่าว
ประสบการณ์ในการซื้อขายพระที่ผ่านมา น้องเอ็ม กล่าวว่า “ครั้งหนึ่ง ผมทำแว่นส่องพระตกในห้องเรียน บังเอิญคุณครูท่านหนึ่งเห็นเข้า จึงถามผมว่า เป็นนักเล่นพระหรือ ผมตอบว่าใช่ ท่านถามอีกว่า ดูพระเป็นหรือเปล่า ไหนลองดูพระของครูซิ เป็นพระอะไร แท้หรือไม่ ผมรับพระมาดู พร้อมกับบอกว่าเป็นพระกริ่งคลองตะเคียน เป็นพระแท้ ท่านย้อนถามอีกว่า ถ้าเป็นพระแท้ กล้าซื้อมั้ย ผมตอบว่า กล้าซื้อ คุณครูจะขายเท่าไร ท่านบอกว่า ๓ หมื่นบาท ผมบอกว่าพรุ่งนี้จะเอาเงินมาให้ วันรุ่งขึ้นผมเอาเงิน ๓ หมื่นบาทจ่ายให้คุณครู พร้อมกับรับพระกริ่งคลองตะเคียนองค์นั้นมา ผมบอกท่านว่า คุณครูครับ พระองค์นี้ผมจะรับผิดชอบเอง คุณครูไม่ต้องห่วง หากผิดพลาด (เป็นพระเก๊) ผมจะไม่นำพระมาคืนคุณครู...ต่อมาผมได้ขายพระองค์นี้ให้เซียนใหญ่ในราคากว่า ๑ แสนบาท...องค์ต่อมาผมซื้อ พระนางพญา พิมพ์เข่าตรง อยู่ในกรอบพลาสติกขมุกขมัว จาก รปภ.ที่โรงเรียน ผมมั่นใจว่าเป็นพระแท้ รปภ.บอกว่าจะขาย ๕๐๐ บาท ผมซื้อทันที องค์นี้ผมขายให้เซียนใหญ่ในราคา ๖ แสนบาท และที่ฟลุกจริงๆ คือ พระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่ วัดระฆัง หักชำรุด ซื้อมา ๕,๐๐๐ บาท ผมส่งซ่อมเสร็จแล้วออกขายไป ๑.๒ ล้านบาท นอกจากนี้ยังมี พระหลวงพ่อเงิน พิมพ์จอบเล็ก, พระรอด พิมพ์ใหญ่ วัดมหาวัน และพระนางพญา พิมพ์เข่าตรง สวยอีกองค์หนึ่ง ๔-๕ องค์นี้เมื่อขายออกไปแล้วทำให้ผมมีเงินกว่า ๖ ล้านบาท คุณพ่อให้ผมเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อห้องแถว ๒ คูหา ๔ ชั้น ใกล้บ้านพักแถวกระทรวงสาธารณสุข เผื่อว่าจะทำธุรกิจได้ในอนาคต คุณพ่อจะสอนผมเสมอว่า พระที่คุณพ่อมีอยู่ ในวันข้างหน้าจะตกเป็นของผมและน้องชาย (เอฟ) ให้เก็บรักษาต่อไป อย่าขายเป็นอันขาด พระที่จะขายได้คือพระที่เพิ่งซื้อเข้ามาใหม่ ทำแบบซื้อมาขายไป ซึ่งผมก็ได้ทำตามนี้ตลอดมา และพยายามซื้อพระเก็บเข้าบ้านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
พระเครื่องที่ น้องเอ็ม ชอบเป็นการส่วนตัว คือ พระเนื้อโลหะต่างๆ เช่น เหรียญพระเกจิอาจารย์ยุคเก่า พระกริ่ง รูปหล่อโบราณ เหรียญหล่อโบราณ เพราะดูแล้วมีศิลปะคลาสสิกดี นอกจากนี้ยังชอบพระเนื้อผง เนื้อดิน บางประเภท ที่ดูได้เป็นพิเศษ คือ พระชุดเบญจภาคี ทุกองค์ ซึ่งได้ผ่านการทดสอบจากเซียนพระรุ่นใหญ่มาแล้วหลายคน จนทำให้ น้องเอ็ม ขึ้นเทียบชั้นการซื้อขายพระยอดนิยมราคาแสนกับบรรดาเซียนพระผู้ใหญ่อยู่เสมอๆ
และจากการทดสอบความรู้ความสามารถในการพิจารณาพระประเภทต่างๆ ได้สร้างความประหลาดใจให้กับ พยัพ คำพันธุ์ นายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย เป็นอันมาก ว่าเด็กคนนี้มีความรู้ดูพระเป็นได้จริงๆ เรียกได้ว่า เก่งเกินวัย จึงตั้งฉายาให้ว่า "ยอดมนุษย์น้อย อัจฉริยะ" พร้อมกับแต่งตั้งให้เป็น กรรมการตัดสินพระเครื่อง ประเภทรูปหล่อโบราณยอดนิยม ของ สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย นับเป็น กรรมการตัดสินพระที่มีอายุน้อยที่สุด ของวงการพระเครื่อง
ปัจจุบัน “น้องเอ็ม” อายุ ๑๗ ปี จบชั้น ม.๕ แล้ว กำลังขึ้นเรียนชั้น ม.๖ ในปีการศึกษาหน้านี้
อย่างไรก็ตาม น้องเอ็ม กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “แม้ว่าผมจะสามารถดูพระได้ดีพอสมควร แต่ผมถือว่าเพิ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังไม่เก่งกล้าสามารถอะไรมากนัก เพราะวงการพระยังต้องเรียนรู้กันอีกมากมาย เรียนกันไม่มีวันหมด การดูพระต้องฝึกฝนสายตาทุกวัน ถึงจะชำนาญอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน มีผู้เป็นห่วงผมในเรื่องการเรียนหนังสือ ผมยืนยันว่า แม้จะหาเงินได้แล้วในขณะนี้ แต่การเรียนหนังสือของผมยังจะต้องเรียนกันต่อไปอีก ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการเรียนการศึกษาวิชาการต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับสังคมในทุกวันนี้”