พระเครื่อง

พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์มี..."กระดูกนิ้วชี้ของพ่อเป็นสรณะ"

พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์มี..."กระดูกนิ้วชี้ของพ่อเป็นสรณะ"

11 ก.พ. 2555

พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์มี..."กระดูกนิ้วชี้ของพ่อเป็นสรณะ" : สรณะคนดัง เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

          “นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์” ชื่อนี้อาจจะไม่เป็นที่รู้จักของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ถ้าบอกว่าเป็นชื่อและคนคนเดียวกับ “นายสมชาย ไพบูลย์” หนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช.” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับผู้ติดตามข่าวการเมือง โดยในวันนี้เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็น เลขาฯ ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกกระทรวงมหาดไทย
 
             ส่วนที่มาของของการเปลี่ยนชื่อนั้น ไม่ได้มาจากการตั้งของพระเกจิชื่อดังที่ไหนตั้งให้ หากแต่เป็นชื่อที่เขาตั้งขึ้นเอง โดยได้ศึกษาจากตำราการตั้งชื่อของห้องสมุดระหว่างที่อยู่ในเรือนจำคลองเปรมมา ๘ เดือน ซึ่งก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีคนทักมาหลายครั้งว่า คนเกิดวันอาทิตย์ชื่อ “สมชาย” ซึ่งมี “ส” จะเป็นกาลกิณี
 
             โดยก่อนหน้านี้เขาคิดอยู่เสมอว่า ชื่อก็เป็นเพียงนามสมมุติ ที่สำคัญคำว่า “สมชาย” เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้อย่างไรก็เป็นมงคลจึงใช้ชื่อนี้เรื่อยมา ทั้งนี้เมื่อได้ศึกษาตำราการตั้งชื่อความคิดเปลี่ยนชื่อจึงเกิดขึ้น และเมื่อออกจากเรือนจำก็ได้เปลี่ยนชื่อ ซึ่งมีความหมายว่า “ชัยชนะที่วิเศษของนักพัฒนา” แต่คนก็ยังเรียก “สมชาย” อยู่เหมือนเดิม เว้นแต่คนที่รู้จักใหม่ๆ เท่านั้น
 
             “ผมเป็นคนนครศรีธรรมราช คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าผมต้องมีจตุคามรามเทพทุกรุ่นล้นบ้าน แต่ความจริงแล้วผมมีเพียง ๓-๔ องค์เท่านั้น ส่วนพระหลวงปู่ทวดนั้นแม้ไม่ได้แขวนติดตัวแต่ก็ใส่ไว้ในรถเสมอ” นี่เป็นประโยคแรกของการสนทนากับนายพิพัฒน์ชัย
 
             ระหว่างการสนทนาเขาได้ถอดพระหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง ซึ่งได้มาจากเจ้าของตลาดมหาชนระหว่างออกเดินเท้าหาเสียง พร้อมกับบอกว่า “อยู่เขตบางขุนเทียนต้องมีหลวงพ่อไปล่ไว้ป้องกันตัว และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วๆไป” พระหลวงพ่อไปล่ มีพุทธคุณเลื่องลือถึงความเหนียว และความเมตตาสูง นักการเมืองย่านฝั่งธน ทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่าต้องมีแขวนคอหนึ่งองค์ โดยเฉพาะ “ตระกูลอยู่บำรุง”
 
             อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เขาแขวนพระที่ได้จาก ส.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ เมื่อไปช่วยหาเสียงในครั้งที่สมัครเป็นนายกเทศมนตรี ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระที่ตระกูลบูรณุปกรณ์ให้ความเคารพนับถือมาก โดยมีความเชื่อว่า “แขวนแล้วจะได้รับชัยชนะเลือกตั้ง”
 
             นอกจากพระหลวงพ่อไปล่แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่นายพิพัฒน์ชัย แขวนติดตัวเป็นประจำ คือ กระดูกข้อนิ้วชี้ของพ่อ โดยในวันที่เก็บอัฐิของพ่อ เขาได้คุ้ยและพยายามหากระดูกข้อนิ้วชี้ขวาของพ่อ โดยได้อธิษฐานขอจากพ่อ ในที่สุดก็เจอและนำไปเลี่ยมมาแขวนคอ นอกจากให้ความรู้สึกว่ามีพ่ออยู่กับตัวและคอยคุ้มครองอยู่ตลอดเวลาแล้ว นอกจากนี้ยังมีความเชื่อด้วยว่า นิ้วชี้สามารถที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้
 
             “เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตผม ในช่วงที่พ่อมีชีวิตอยู่นั้น ทุกครั้งที่กลับบ้านก็จะยกมือไหว้ท่านแล้วก็ให้เงินท่านใช้ ๒-๓ พันบาท โดยไม่ได้ถามหรือพูดคุยอะไรกับท่าน จนกระทั่งท่านจากผมไป รอยยิ้มของพ่อเป็นเพียงความทรงจำ จะทำอะไรเพื่อพ่อก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผมอยากฝากบอกลูกๆ ทุกคนว่า พ่อแม่ไม่ต้องการเงินจากลูก แต่ต้องการความเอาใจใส่ดูแลจากลูกๆ เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ต้องหาโอกาสไปอยู่ดูแลท่าน แน่นอนที่สุดว่า วันหนึ่งเรากลับบ้านไปอาจจะพบร่างอันไร้วิญญาณ เมื่อคิดจะทำอะไรเพื่อพ่อแม่ต้องรีบทำ” นายพิพัฒน์ชัยกล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า
 
             อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถูกจับได้ นายพิพัฒน์ชัยเล่าว่า  เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ โดยมีเรื่องเล่าจากตำรวจชุดจับกุมนายหนึ่งว่า เป็นตำรวจจากส่วนกลางลงไปตามตัวเพื่อจับกุมหลายรอบ ตลอดระยะเวลากว่า ๑ เดือน ขนาดตำรวจไปนั่งเฝ้าหน้าบ้านทุกวัน ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้หลบหนีไหน แต่ตำรวจก็ไม่เจอ ถึงกระทั่งตำรวจถอดใจขับรถกลับกรุงเทพฯ
 
             ระหว่างทางตำรวจชุดนี้ได้จอดพักกินกาแฟบริเวณบ้านช่องเขา (ชุมทางเขาชุมทอง) ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อบ้านช่องเขา ซึ่งมีคำร่ำลือเรื่องความศักดิ์สิทธิ์มากมาย ตำรวจชุดดังกล่าว ๔-๕ คน ได้ไปบนบานศาลกล่าวบอกกับเจ้าพ่อบ้านช่องเขา โดยได้บนว่า “ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายสมชาย  เมื่อจับสมชายได้จะรับรองเรื่องความปลอดภัยทุกเรื่อง”  พร้อมกับติดสินบนต่อท้ายด้วยว่า “หากจับสมชายได้จะมาจุดประทัดแก้บน”  ระหว่างนี้มีสายส่งข่าวมาว่า สมชายอยู่หน้าบ้าน จึงย้อนกลับไปสังเกตการณ์อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ปรากฏว่าสมชายอยู่หน้าบ้านจริงๆ และถูกจับในที่สุด
 
             นอกจากนี้ นายนายพิพัฒน์ชัย ยังพูดถึงน้ำใจของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีต่อแกนนำว่า ทุกคนได้รับพระเครื่องและเครื่องรางของขลังจากทั่วสารทิศทุกจังหวัด ทั้งพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง ตะกรุด ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ ฯลฯ ชนิดที่เรียกว่า หนักเป็นกิโลๆ แกนนำบางคนก็แขวนไว้ทั้งหมด แต่สำหรับตัวเองได้มอบต่อให้การ์ด นปช.


ดอกหญ้าและคำทำนายจากเรือนจำ
 
             “นางเอกวิ่งหาพระเอก พ่อแม่ร้องไห้เมื่อเห็นลูกอยู่รถเรือนจำ เป็นเพียงภาพในละคร และภาพยนตร์เท่านั้น แค่เข้าคุกเดี๋ยวเดียวก็ออกมา คนมันจะเศร้าอะไรกันหนักหนา แต่เมื่อต้องมาติดคุกจริง ชีวิตมันเศร้าและแตกต่างจากการถ่ายทอดอารมณ์ของดารานักแสดงร้อยเท่าพันเท่า การต่อสู้บนเวทีการเมืองว่าแข็งแกร่งและเข้มแข็งแล้ว ทันทีที่ศาลตัดสินไม่ให้ประกันตัวก็รู้สึกวูบไปเหมือนกัน” นี่เป็นความรู้สึกของนายพิพัฒน์ชัย เมื่อครั้งที่ถูกส่งไปนั่งบนรถบรรทุกนักโทษของเรือนจำวันแรก
 
             พร้อมกันนี้ นายพิพัฒน์ชัยยังบอกด้วยว่า การเข้าคุกเป็นเวลา ๘ เดือน ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตมากมาย โดยก่อนหน้านี้ยอมรับว่า ไม่เคยเอาใจใส่ห่วงหาอาทรภรรยาเท่าใดนัก เมื่อมาอยู่ในคุกมีโอกาสส่งความรักความคิดถึงมาให้ภรรยามากขึ้น อย่างวันวาเลนไทน์ก็ได้เก็บดอกหญ้าจากเรือนจำทับให้แห้ง ประดิษฐ์เป็นการ์ดส่งมาให้แฟน ถึงขนาดที่ว่า หมอเหวง โตจิราการ ได้จ้างด้วยบุหรี่ ๒ แถว ให้ทำการ์ดดอกหญ้าจากเรือนจำส่งเป็นให้กำลังใจนางธิดา โตจิราการ ภรรยา
 
             อย่างไรก็ตาม นายพิพัฒน์ชัย ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยเชื่อมาก่อน แต่เมื่อเสี่ยอู๊ด (สิทธิกร บุญฉิม) ได้นำดวงของกลุ่ม นปช.ที่ต้องโทษในเรือนจำคลองเปรมไปให้พระมหาประดิษฐ์ ถิรธมฺโม อดีตโหราจารย์ใหญ่ประจำวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร คำทำนายหนึ่งที่น่าคิด คือ “พระมหาประดิษฐ์ได้ทำนายไว้ระหว่างที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อยู่ในเรือนจำคลองเปรม คือ เมื่อออกจากเรือนจำว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี และก็ได้เป็นตามคำทำนาย
 
             ในขณะนั้นไม่มีใครเชื่อและเป็นไปได้ที่สุดคำทำนายของพระมหาประดิษฐ์ก็เป็นจริง นายณัฐวุฒิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากนี้แล้วพระมหาประดิษฐ์ยังทำนายต่ออีกว่า จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย จะได้เป็นรัฐมนตรีโดยได้ระบุอย่างชัดเจนว่า จะได้เป็นรัฐมนตรีระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม รวมทั้งยังทำนายอนาคตของ ๘ นปช.ไว้อย่างละเอียดก่อนที่จะมรณภาพ