
คาถาป้องกันตายโหง !
คาถาป้องกันตายโหง ! : พึ่งตนพึ่งธรรม โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา
ขึ้นหัวเรื่องซะน่ากลัว ... “ตายโหง” บอกตามตรง อยากเขียนเรื่องแบบนี้มานานแล้ว ทำไมเหรอครับ? ผมเห็นพวกเราชาวพุทธ ส่วนมากยังมีจิตใจที่อ่อนแอ เชื่อง่าย ปักใจในไสยศาสตร์ มากกว่า พุทธศาสตร์ อันท่านเองก็สามารถพิสูจน์ ได้โดยการยอมสละเวลาสัก ๓๐ นาที แล้ว ไล่กดรีโมทคอนโทรล จากเคเบิ้ลทีวี ทั้งหมด ดูไปเรื่อยๆ เป็นร้อยๆ ช่อง แล้วท่านจะพบความจริงว่า ยังมีรายการงมงาย มอมเมา หลอกลวงประชาชน อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว โดยมากมักเน้นเรื่อง การดูดวงแบบฉับไว ไม่ว่าจะใช้การเอกซเรย์ ก็ดี หรือ ใช้จิตสัมผัสก็ดี หรือ ใช้ทายวัน ทายไพ่ ดูลายเซ็นทายน้ำเสียง ฯลฯ ทั้งหมดทั้งปวง ก็เพื่อเหตุผลใหญ่ ๒-๓ ประการเท่านั้น คือ
๑.อยากให้ตัวเองได้ดี มีสุข อย่างมักง่าย ไม่ต้องลำบากสร้างเหตุอะไรให้มากมายนัก แค่ ใส่กำไลข้อมือ หรือเลือกสีที่ถูกโฉลก หรือไปปล่อยสารพัดสัตว์ หรือหลอกล่อให้มาทำบุญ บริจาคทาน จนเกินกำลัง เป็นต้น
๒.ไม่อยากให้ตัวเองตกอับ มีทุกข์ หรือไม่อยากชะตาขาด อายุสั้น หรือตายไม่ดี โดยพึ่บุคคลหรือปัจจัยภายนอก
มันก็แค่นั้น พูดถึง “การตายไม่ดี” คำโบราณว่า “ตายโหง” ใครถูกด่า สาปแช่งให้ตายโหง คงต้องโกรธน่าดู หรือหมอดูคนไหนทักว่าจะตายโหง คงจะเชื่อหัวปักหัวปำ รีบทำตามคำแนะนำ อย่างไม่พิจารณาแหงๆ ลองเปิดพจนานุกรมไทยดูเล่นๆ เล่มหนึ่งว่า จริงๆ แล้ว ตายโหง หมายถึงอะไร ทำไมคนส่วนใหญ่จึงกลัวกันนักหนา
“ตายโหง หมายถึง ตายผิดธรรมชาติ คือไม่ได้เจ็บป่วย หรือแก่ตาย เช่น ถูกฆ่าตาย หรืออุบัติเหตุ เป็นต้น” (จากพจนานุกรม ฉบับทันสมัยและสมบูรณ์ โดยสำนักพิมพ์ Se-ed)
ในทางธรรมะแล้ว ฟังๆ ดูแล้วยังไม่ชัด ไม่กระชับพอนะครับ “ตาย” ผิดธรรมชาติเป็นยังไง การตายจะผิดธรรมชาติไปได้อย่างไร คนที่เกิดแล้วไม่ตายนะสิ จึงจะเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติ ผมว่านิยามอย่างที่ผม จะชัดกว่านะครับ
"ตายโหง คือ การตายอย่างกะทันหัน เช่นถูกยิงตาย หรืออุบัติเหตุ แม้จะไม่กะทันหัน เช่น เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายระยะสุดท้ายต้องตายใน ๓ เดือน แต่เจ้าตัวอยากอยู่ต่ออีก ๓ ปี เป็นต้น แต่เป็นการตายอย่างที่เจ้าตัวไม่ยินยอมพร้อมใจจะตาย ณ เวลานั้น โอกาสนั้น เสียทีเดียว ก็สมควรถูกจัดว่าเป็นตายโหง เช่นกัน”
เอาเป็นว่า ถ้าเห็นด้วยกับนิยามของผมแล้วล่ะก็ ผมมีวิธีที่ทำให้ทุกท่านไม่ต้องตายโหง จริงๆ ไม่ใช่วิธีของผมหรอก แต่เป็นวิธีของพระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง
ทำยังไง ต้องปฏิบัติตัวเช่นไร จึงจะไม่ต้องตายโหง?
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจถึงเป้าหมายปลายทาง อันเป็นอุดมคติของพุทธบริษัท ว่าคือ “นิพพาน” อันถูกกล่าวไว้ในหลายๆ ไวพจน์ด้วยกัน แต่ไม่ว่าจะเป็น “ทำจิตเกษม” “ทำที่สุดแห่งทุกข์” “เข้าถึงอสังขตธรรม” “เข้าถึงสุญญตา” หรือ “อตัมมยตา” เป็นต้นที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็หมายถึง “พระนิพพาน” ทั้งสิ้น
อรรถาธิบาย ที่ง่ายและโดนใจผมที่สุด คือคำของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่ท่านนิยามในอีกมิติหนึ่งว่า
“นิพพาน คือ ตายก่อนตาย”
อัน “ตาย” คำแรก ท่านหมายถึง ตายจากการยึดมั่นถือมั่น ดับไม่เหลือซึ่ง ตัวกู-ของกู และ “ตาย” คำหลัง การคือการตายของสังขารร่างกายเรา ตามที่ทุกคนเข้าใจอยู่แล้ว นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เข้าใจ (ปริยัติ) และปฏิบัติจนเข้าถึงแล้วซึ่งการตายก่อนตาย ผู้นั้นก็จะไม่ตายโหง!
อาจารย์พุทธทาส ยังฝากคาถาวลีหนึ่ง ให้ฝึกไว้ไม่ให้ตายโหงว่า
“สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ; สรรพสิ่งทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”
ง่ายไหมครับ? ปิดประตูตายโหง ได้แล้ว เพียงเท่านี้
จะให้ดี สำหรับผู้ที่ปรารถนามากกว่านั้น คือ ไม่อยากตายเลย คือ ไม่ต้องทั้งตายโหง และ ตายจริงๆ ก็ต้องทำความเข้าถึงซึ่ง โลกุตระธรรม อันเป็นธรรมที่อยู่เหนือโลก ปฏิบัติเพื่อการเข้าใจในชีวิต เข้าใจในสังสารวัฏ ที่เป็นดังห้วงมหรรณพ ล้อมให้สรรพชีวิตต้องเวียนเกิด เวียนตาย กันไม่รู้จบอยู่อย่างนี้ เข้าใจใน “อิทัปปัจจยตา” กระทั่งซาบซึ้งในไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) จนรู้แล้วว่า ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรตาย
โลกทั้งใบและสรรพชีวิตนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราเลย คือ มีตัวกูของกูอยู่อย่างนั้นของมัน แต่ไม่ใช่ตัวเรา เลยจริงๆ อันนี้แหละที่ใครเข้าใจก็จะมีโอกาส ไม่เพียงแต่หยุดตายโหงเท่านั้น แต่เอากันถึงขั้นหยุดเกิด หยุดตายได้เลยทันที Here & Now ที่ท่านเข้าใจในระดับวิปัสสนา
เรื่องอย่างนี้ ประดาปราชญ์ บัณฑิตทั้งหลาย ท่านใฝ่หา ค้นคว้ากันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ผ่านมาเป็น ๒๖๐๐ ปีแล้วครับ พวกเขาไม่ได้สนใจหรอก เรื่อง ทำบุญมากแล้วไปสวรรค์ หรือ นั่งสมาธิมากแล้วไปเกิดเป็นพรหม หรือต้องสลักชื่อไว้ ในเจดีย์มหานิพพาน แต่เขาสนใจเรื่องหยุดเกิด-หยุดตาย เลิกเวียนว่ายตายเกิดกันเสียแต่ในชาตินี้กันเสียที ดังเช่น ท่านโมฆราช ซึ่งเป็นมาณพคนสุดท้าย จากทั้งหมด ๑๖ มาณพ หัวดี ไอคิวสูง ที่มีโอกาสไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วถามคนละคำถาม ซึ่งพระพุทธองค์ ทรงทราบได้ด้วยญาณว่าพราหมณ์โมฆราช ท่านนี้ไม่ธรรมดา จึงจัดให้ถามเป็นคนสุดท้าย และคำถามอันเป็นปรมัตถ์ของท่าน ก็เป็นคำถามที่กระเทือนทั้งจักรวาล สะท้อน ก้องกังวาล เป็นอกาลิโก แม้ผ่านกาลเวลา ล่วงมาแล้ว ๒๖๐๐ ปี ตราบจนปัจจุบัน ผู้ที่มีปัญญาก็ยังถามคำถามนี้อยู่อย่างไม่หยุดหย่อน
“ทำอย่างไร ความตายจึงไม่มาพบกับเรา? ”
และคำตอบของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ตอบท่านโมฆราชไป ก็สั่นสะเทือนไปใน ๓ โลก ก้องไปในทุกจักรวาล อันเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วย บาลี ๓ วรรค วรรคละ ๑๖ พยางค์ รวมเป็น ๔๘ พยางค์ ป้องกันได้ทั้ง การตายโหง และหยุดเกิด-หยุดตาย ได้ทันที ที่รู้แจ้งจริงในพระคาถา เราเรียกว่า “โมฆราชคาถา” อันมีว่า ...
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มี “สติ” เห็นโลกโดยความเป็น “ของว่าง”อยู่ทุกเมื่อเถิด
อตฺตานุทิฏฺฐิ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
ถอนทิฐิว่า "ตัวตน" ออกเสียให้หมดแล้ว ก็จะเป็นผู้อยู่เหนือมัจจุราช
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชานปสฺสติ
เมื่อเธอเห็นโลกเป็นของว่างอยู่อย่างนี้ "มัจจุราช " ย่อมมองไม่เห็นเธอ
เพื่อขยายผลพระคาถาบทนี้ให้เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น และสวยงามในอีกมิติหนึ่ง ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เคยร่ายไว้ว่า...
“มองเห็น ความไม่มี ในความมี
ถอนยึดถือ ออกทุกที่ อย่ามีไหน
มองโลกว่าง อย่างนี้ ทุกทีไป
ความตายก็ จะไม่ มองเห็นเรา”
ขอให้ทุกท่าน พ้นจากการตายโหง และ ข้าถึงโลกุตระธรรม สู่กระแสพระนิพพานในที่สุดครับ