พระเครื่อง

เซียนพระตายหมู่ข่าวเขย่าวงการพระเครื่องส่งท้ายปีกระต่าย

เซียนพระตายหมู่ข่าวเขย่าวงการพระเครื่องส่งท้ายปีกระต่าย

27 ธ.ค. 2554

เซียนพระตายหมู่ข่าวเขย่าวงการพระเครื่องส่งท้ายปีกระต่าย : เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

               "นายพิศาล เตชะวิภาค หรือ ต้อย เมืองนนท์ อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย นายอนุศักดิ์ นารถกุลพัฒน์ หรือ อ้า สุพรรณ อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย นายเสมอ งิ้วงาม หรือ ป๋อง สุพรรณ สุดยอดแฟนพันธุ์แท้พระเครื่อง และเลขานุการสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย
 
                นายชัยโรจน์ กาญจนศิลาโรจน์ หรือ เลิศ สุพรรณ กรรมการสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย นายเกรียงไกร จิระสวัสตระมูล หรือ ป้อม สกลนคร กรรมการสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย นายกิตติ จันทร์จารุวัฒน์ หรือ  ติ นครปฐม เซียนพระสายนครปฐม นายกนก จงพัฒนากร หรือ อู๊ด สุพรรณ เซียนพระสายสุพรรณ นายสมกียรติ บุญเสรฐ หรือ เวกัส ศูนย์มรดกไทย(พันธุ์ทิพย์)”
 
                ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของเซียนพระของสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ที่ถูก นายพิสิษฐ์ นวพรลักษมี หรือ เสี่ยเล็ก ตั้งเจริญ อายุ ๔๐ ปี นักธุรกิจเครื่องเสียง และนักซื้อพระเครื่องมือทองย่านฝั่งธนบุรี ผู้ซึ่งต้องข้อกล่าวหาว่า
 
                “มีพฤติกรรมฉ้อโกงประชาชน สั่งจ่ายเช็คที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้จากการเช่าพระเครื่อง อีกทั้งยังอ้างบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือในวงการพระเครื่องมารับรอง พร้อมจ่ายเป็นเช็คในชื่อตัวเอง ภรรยา และพี่ชาย แต่เมื่อเจ้าของพระนำเช็คไปขึ้นจากธนาคาร ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการสั่งจ่าย จึงรวมตัวกันไปทวงเงินและพระคืน แต่เสี่ยเล็ก ก็อ้างว่า นำพระไปจำนำหมดแล้ว หากอยากได้พระคืนก็ให้ไปไถ่คืนเอง และไม่ยอมบอกว่านำไปจำนำไว้ที่ไหนบ้าง และอ้างว่าเงินที่จำนำพระได้ใช้ไปหมดแล้วคิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า ๓๐๐ ล้านบาท”
 
                ทั้งนี้ เมื่อวันพุธ ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา เลิศ สุพรรณ และ ผู้เสียหายมากกว่า ๒๐ ราย ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ นายพิสิษฐ์ได้เข้าให้ปากคำเพิ่มเติมต่อ พ.ต.ท.ปัญญา ไอยราคม พนักงานสอบสวน (สบ๓) สภ.เมืองนนทบุรี สาขาย่อยรัตนาธิเบศร์เพิ่มเติมในคดีที่ตนเองถูกคนร้าย ๖ คน อุ้มตัวจากบริเวณลานจอดรถชั้น ๑ ห้างพันธุ์ทิพย์ สาขางามวงศ์วาน ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี โดยคนร้ายได้บังคับเอาพระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์ใหญ่ราคากว่า ๑๖ ล้านบาทไป ก่อนที่จะปล่อยกลับมา
 
                "ถ้าต้องอุ้มเสี่ยเล็กผมต้องอุ้มเป็นคนแรก เพราะเป็นคนที่โดนเช็คเด้งมากที่สุด แบ่งส่วนของเช็ค ๗๕ ล้านบาท และพระเครื่องเอาไปแล้วยังไม่จ่ายเงินรวมทั้งหมด ๑๑๐ ล้าน แต่ก็ได้มาเป็นบางส่วนแล้ว โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าเขาไม่โกงหรือหายหน้าหนีไปไหน แต่ ณ เวลานี้เขายังหมุนเงินมาจ่ายเช็คไม่ทันตามเวลาที่กำหนด” นี่เป็นคำยืนยันของ ต้อย เมืองนนท์
 
                พร้อมกันนี้ต้อย เมืองนนท์ ยังบอกด้วยว่า ในฐานะผู้ใหญ่ของวงการพระเครื่อง แม้ว่าจะเป็นผู้เสียหายรายใหญ่ แต่ก็พยายามที่จะให้เสี่ยเล็กคืนเงินและคืนพระแก่เซียนพระรายย่อยก่อน ส่วนตัวเองนั้นจะขอเป็นรายสุดท้าย ขณะเดียวกันก็มีความพยายามที่จะเรียกผู้เสียหายทั้งหมดมาประชุมพูดคุยกับเล็กต่อหน้าผู้ใหญ่ของวงการพระเครื่องและสื่อมวลชน เพื่อหาทางออกของปัญหา แต่เมื่อมีการไปแจ้งความดำเนินคดีกับเสี่ยเล็กก่อน เรื่องจึงบานปลายกลายเป็นข่าวสร้างความร้าวฉานในวงการพระเครื่อง 
 
                ทั้งนี้ ต้อย เมืองนนท์ พูดไว้อย่างน่าคิดว่า “ถ้าเสี่ยเล็กตั้งใจจะมาโกงหรือหากินกับคนวงการพระเครื่องจริงๆ คงไม่นำเงินหลายร้อยล้านบาทมาเช่าซื้อพระเครื่องซึ่งก่อนหน้าที่เสี่ยเล็กจะมีปัญหาเรื่องการเงินเซียนพระได้ประโยชน์จากการขายพระให้เสี่ยเล็กเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อธุรกิจเขาประสบปัญหาเราต้องให้โอกาสเขาไปดำเนินธุรกิจต่อให้ได้ เพื่อนำผลกำไรมาใช้หนี้ ไม่ใช่ตัดหนทางธุรกิจของเขาให้หมดทางเดิน สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้เงินคืน”
  
                ในขณะที่ เลิศ สุพรรณ บอกว่า ก่อนหน้านี้การเช่าซื้อกับเสี่ยเล็กก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ระยะหลังปรากฏว่าผู้ที่ขายพระให้เสี่ยเล็กหลายรายนำเช็คที่เสี่ยเล็กออกให้ไปขึ้นเงินไม่ได้ บางรายก็โทรไปถามปัญหากับเสี่ยเล็กโดยตรงได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด ในที่สุดก็นำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีกล่าวโทษ เพื่อมาตรวจสอบและแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าว 
 
                อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในการเช่าชื้อพระเครื่องหลักปฏิบัติของวงการพระเครื่องที่ยึดถือมาอย่างต่อเนื่องนั้น คือ “ต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น” แต่กรณีของเสี่ยเล็กที่ซื้อพระด้วยเช็คหรือเงินเชื่อได้นั้น เลิศ สุพรรณ บอกว่า เพราะการสร้างความไว้วางใจ สร้างเครดิต รวมทั้งยกชื่อของผู้ใหญ่ในวงการพระเครื่องมาอ้าง ซึ่งก็เป็นจริงที่เขาอ้าง เซียนพระทุกคนจึงกล้าที่จะรับเช็คโดยไม่มีความเฉลียวใจเลยว่าจะเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง บทเรียนครั้งนี้ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของวงการพระเครื่อง
 
                “เซียนพระที่ขายพระให้เสี่ยเล็กไม่มีใครคิดร้ายกับเสี่ยเล็ก เพราะขืนเสี่ยเล็กเป็นอะไรไปคนที่ขายพระให้เสี่ยเล็กจะไม่ได้อะไรคืนมา ตรงกันข้ามต้องดูแลเสี่ยเล็กชนิดที่เรียกว่าเหมือนไข่ในหิน ให้ธุรกิจเขาเดินได้เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าพระ เรื่องนี้ยุติลงได้และคงไม่เกิดขึ้นหากเสี่ยเล็กนำพระมาคืนให้” เลิศ สุพรรณ กล่าว


บัญญัติอย่า๑๐ประการ
 
                “นี่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนครั้งใหญ่ของวงการพระเครื่องที่ต้องจดจำกันเอาไว้” เป็นคำยืนยันของ นายนิพนธ์ เฮงเส็ง หรือ นุ เพชรรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญพระกรุและกรรมการของสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย
 
                พร้อมกันนี้ นุ เพชรรัตน์ ยังบอกด้วยว่า นักเลงพระรุ่นเก่าได้ตั้งบัญญัติสำหรับเตือนสติเซียนพระ "อย่า ๑๐ ประการ" เป็นคำกลอนสอนเซียนด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันนี้ถ้าเซียนพระคนใดยึดปฏิบัติ วงการพระเครื่องก็น่าจะมีการพัฒนามากกว่านี้ "บัญญัติอย่า ๑๐ ประการ" ที่ว่าคือ
 
                อย่า...ทำตนไถพระเขาฟรี อย่า...อวดดีอย่างคางคก
 
                อย่า...ฟูมฟกเมื่อเจอพระเก๊ อย่า...ทำเก๋ชักดาบเขา
 
                อย่า...มัวเมาเล่นจนหลง อย่า...พะวงพระลาวตกรถ
 
                อย่า...ใจคดทุบหม้อข้าว อย่า...เช่าพระใกล้พลบค่ำ
 
                อย่า...ลูบคลำพระถูเหงื่อ อย่า...เชื่อหูแต่จงเชื่อตา
 
                สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ นุ เพชรรัตน์ บอกว่าตรงกับบัญติเซียน คือ "อย่าทำเก๋ชักดาบเขา อย่าใจคดทุบหม้อข้าว" เมื่อเราเอาพระเขามาต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นพระที่ไทเกอร์เขามา อย่าหักหลัง มีอะไรต้องปรึกษาหารือกัน ในวงการพระมีทั้งเซียนใหญ่และเซียนเล็ก ถ้าเซียนใหญ่ไม่ช่วยเซียนเล็ก หรือเซียนเล็กไม่เคารพเซียนใหญ่ วงการพระไม่ก้าวหน้า ทำให้คนไม่กล้าเข้าวงการพระ