พระเครื่อง

กบ-ปภัสรา เตชะไพบูลย์ในวันที่พร้อมจะเป็น...“ครูใหญ่ (ศพดอง)” :

กบ-ปภัสรา เตชะไพบูลย์ในวันที่พร้อมจะเป็น...“ครูใหญ่ (ศพดอง)” :

05 พ.ย. 2554

กบ-ปภัสรา เตชะไพบูลย์ในวันที่พร้อมจะเป็น...“ครูใหญ่ (ศพดอง)” : สรณะคนดัง โดย เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู 0

              วัดป่ามัชฌิมาวาส บ้านดงเมือง ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ปัจจุบันมีพระอาจารย์เมือง พลวฑฺโฒ เป็นเจ้าอาวาส มีพื้นที่ประมาณ ๑๒๕ ไร่ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอันสงบเรียบง่าย ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ มีสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมของสตรีแยกอยู่เป็นสัดส่วนในบริเวณประกอบด้วยที่ พักของอุบาสิกาและเป็นโรงครัวสำหรับประกอบภัตตาหารถวายพระ
   
          พระอาจารย์เมือง ได้สร้างศาลาการเปรียญซึ่งเป็นศาลาปูนหลังใหญ่ เป็นที่สำหรับให้ผู้ที่สนใจในการปฏิบัติธรรมได้พิจารณาครูใหญ่ (ศพดอง) เพื่อเป็นการพิจารณาถึงความจริงของชีวิต โดยประมาณปี ๒๕๓๕ พระอาจารย์เมืองได้มีดำริที่จะทำห้องกรรมฐานให้พระภิกษุได้พิจารณาอสุภะ กรรมฐาน ซึ่งปัจจุบันมีร่างครูใหญ่ที่ได้รับมอบจากภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทั้งหมด ๒๐ ท่าน เป็นร่างที่สมบูรณ์ ๑๔ ท่าน เป็นโครงกระดูก ๖ ท่าน นอกจากนี้ยังมีศพดองที่เป็นทารกและโครงที่ไม่สมบูรณ์อีกจำนวนหนึ่ง
   
          หลายคนที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้อาจจะแปลกใจกับภาพนางงามขณะสวมมงกุฎ ติดรอคู่ไว้กับโลงแก้วเปล่าๆ และอดจะตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า นางงามคนนี้เป็นใคร ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ใครอื่น ภาพดังกล่าวคือ “กบ” ปภัสรา เตชะไพบูลย์ อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ พ.ศ.๒๕๓๑ ในวัย ๑๙ ปี นั่นเอง
   
          "กบตายไปแล้วเอาไปเผา มันก็เป็นเถ้าถ่านเป็นผุยผงลงไปกับดิน ไม่มีคุณค่า เอาต้นไม้มาปลูกมันยังไม่ขึ้น เพราะกบไม่ใช่ปุ๋ย หรือถ้าคนพูดถึงกบ เมื่อก่อนเขาเป็นนางงาม เขาเป็นคนที่ดี มีครอบครัวอบอุ่น มันก็แค่นั้นนะ มันก็ไม่เกิดประโยชน์กับใครเลย แต่ถ้ากบเอาร่างของกบ ณ วันนี้ มาเป็นอุทาหรณ์มาเป็นประโยชน์มาเป็นอาจารย์ใหญ่ ให้เพื่อเป็นกรณีศึกษาจะเป็นประโยชน์เยอะมาก" เป็นเหตุผลของกบในการอุทิศร่างกายหลังสิ้นชีวิตพร้อมโลงแก้วให้วัดป่ามัชฌิม วาส
   
          “กบ” เป็นผู้หนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการทำบุญเป็นอย่างมาก ดังนั้นในชีวิตประจำวันประมาณ ๙๐% ที่ต้องตื่นแต่เช้าขึ้นมาทำบุญตักบาตร และสวดมนต์ไหว้พระก่อนเข้านอน เพื่อเป็นตัวอย่างให้ “น้องเหนือ” ลูกสาววัยกำลังน่ารักได้เห็นและปฏิบัติตาม และแทบจะทุกวันเสาร์ที่ต้องไปส่งลูกสาวเรียนพิเศษ กบมักจะแวะไปถวายสังฆทานที่วัดปทุมวนาราม และบริจาคเงินเพื่อซื้อโลงศพให้ศพไร้ญาติที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งด้วย
   
          แม้ทางโลก "กบ" ปภัสรา มีสุขจนล้นเหลือ แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจชีวิตว่าความร่ำรวย ลาภ ยศ เกียรติ เฉกเช่นดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นานก็ร่วงโรย เธอใช้ชีวิตที่แสนสั้นแบบมีคุณค่า และไม่ประมาทกับชีวิต ด้วยการทำความดี หมั่นสร้างบุญกุศลอย่างเนืองนิตย์ เพราะสุดท้ายของชีวิตก็คือความตาย
   
          เมื่อวันเกิดล่าสุดได้พาลูกสาวและเพื่อนๆ ไปร่วมทำบุญวันเกิด โดยบริจาคโลงศพที่วัดตะเคียน ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เธอยกประโยคหนึ่งที่เคยได้อ่านจากหนังสือมาย้ำเตือนทุกคนอีกครั้งว่า “มือของผู้ให้จะอยู่เหนือกว่ามือผู้รับ” เช่นกันกับความดี ใครที่ลงมือทำ ความดีก็ย่อมส่งเสริมให้ผู้นั้นเป็นสุขและพบแต่สิ่งที่ดี อยากให้ทุกคนสนใจทำบุญและทำทานโดยไม่ต้องมีข้อแม้หรือมีช่องว่าง
   
          “คนเรานั้นเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นและตายได้ เวลาเราตาย เราอยากตายแบบไหน เรามีสิทธิ์เลือก คนทำดี ถ้าคุณตายไป แม้กระทั่งกลิ่นของคุณ ความเน่าเหม็นในตัวคุณ มันก็ยังหอม คนที่อยู่เขาก็ต่างอาลัย เขาไม่น่าจะจากเราไปเร็วเลยนะ น่าเสียดายคนดีๆ แบบนี้ เขาน่าจะอยู่ เพราะด้วยความที่คุณเป็นคนที่ทำแต่ความดี และช่วยเหลือสังคม” กบกล่าว พร้มมกับบอกด้วยว่า
   
          ส่วนคนที่ไม่ดี คนจะบอกสมน้ำหน้า ดีๆ ให้มันตายไปก็ดี หนักโลก ดูสิความต่าง เราควรจะเลือกว่าเราจะไปแบบไหน ไม่จำเป็นต้องให้ใครเขาเยินยอเราหรอก ไม่จำเป็นต้องให้เขามาบอกว่าเราดีขนาดนั้นดีขนาดนี้ อย่างน้อยพอเราหมดลมหายใจ ขอให้เราเดินทางไปในภพที่ดีก็พอแล้ว ไม่ใช่ว่ามีชีวิตอยู่ก็ลำบากลำบน ตายไปก็ยังต้องไปรับกรรมอีก ในเมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ต้องชดใช้กรรม แล้วก็ทำดีเพิ่มสิ ทำดีไว้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เวลาจะไปจากโลกนี้ มันดีทั้งสิ่งที่เราทิ้งไว้ นั่นคือความ ดีในสิ่งที่เราทำ และเราก็ได้เดินทางไปเจอแต่สิ่งที่ดีๆ”
   
          นอกจากสร้างกุฏิปฏิบัติธรรมไว้ที่วัดมัชฌิมาวาส จ.กาฬสินธุ์ วัดดอนธาตุ จ.อุบลราชธานี ทั้งนี้เธอจะแบ่งเวลาไปปฏิบัติธรรมที่วัดมัชฌิมาวาสทุกปี ครั้งละ ๓ วัน เธอยังสร้างอาศรมอิสรชน อ.เชียงของ จ.เชียงราย เป็นอาศรมในรูปแบบที่เรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติบนเนื้อที่ ๕๐ ไร่
   
          ส่วนวัดดอนธาตุ เป็นวัดของพระเกจิหลวงปู่เสาร์ ที่ลูกชายคนโตของสามีกับภรรยาคนเก่า เคยไปบวชที่นั่น ด้วยความที่เลื่อมใสศรัทธา เพราะเป็นวัดที่สงบและเป็นวัดป่า ซึ่งมีพระสงฆ์ แม่ชี และชาวบ้าน อยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพา พระต้องพายเรือเพื่อข้ามน้ำมาบิณฑบาตในหมู่บ้าน เธอจึงคิดสร้างกุฏิเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้แก่ได้ไปปฏิบัติธรรม
   
          สิ่งหนึ่งที่กบทำจนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว คือ การสวดพระคาชินบัญชรของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และคำสอนของสมเด็จโตที่กบจำได้อย่างแม่นยำ คือ “ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นเมื่อถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า”
   
          อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์เล่นละครมานับสิบเรื่อง โดยละครเรื่องแรกที่เล่นเมื่อกว่า ๒๐ ปี คือ ล่องเรือหา ส่วนเรื่องล่าสุดที่กำลังออกอากาศอยู่ ณ ขณะนี้ คือ เพลงรักบ้านนา ทำให้เข้าใจคำพูดที่ว่า ชีวิตคนเราเป็นเช่นดังละคร แรกเริ่มเข้าสู่วงการเริ่มจากการเป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์ เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยบทนางเอก ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นตัวร้าย กลายไปสวมบทแม่ และต่อไปก็กลายเป็นยาย ก่อนที่จะตายไปจากวงการบันเทิง
   
          ทั้งนี้ กบพูดทิ้งท้ายฝากถึงคนในวงการบันเทิงไว้อย่างน่าคิดว่า “คนเราถ้าดังแล้วลืมตัวย่อมมีจุดจบที่ไม่แตกต่างกัน แต่ถ้าดังแล้วรู้จักว่าตัวเองเป็นใคร ให้คิดเสมอว่าทุกสิ่งย่อมีสิ่งตรงกันข้ามเสมอ  ชื่อเสียงมีมาแล้วก็จากไปเป็นเรื่องธรรมดา ดังได้ก็ดับได้ พบกันเพื่อจากและจากกันเพื่อพบกันอีก คนเราถ้าใช้ชีวิตอย่างขาดสติและปัญญาชีวิตก็จะไปอีกทางหนึ่ง”