พระเครื่อง

หลวงพ่อเกษมอีกแล้ว !

หลวงพ่อเกษมอีกแล้ว !

05 ต.ค. 2554

หลวงพ่อเกษมอีกแล้ว ! : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดย พระชาย วรธัมโม

           ภาพพระภิกษุพูดจามึงมาพาโวย ยกแข้งยกขา ท้าตีท้าต่อย ตบเท้าบนโต๊ะอาหาร ปรากฏบนจอทีวี สร้างความตกใจให้หลายๆ คนที่ดูทีวีในเช้าวันนั้นเพราะดูเป็นภาพที่รุนแรง สิ่งที่ท่านพูดจับใจความได้ว่า "เราไม่ได้อยากดัง คนอยากดังมันจะทำอย่างนี้หรือ ?" พร้อมทั้งเปรียบเทียบตัวท่านเองกับพระที่พูดจาหวานหูจ๊ะจ๋าเพื่อหวังให้ญาติโยมเอาเงินมาถวายสร้างวัดจนใหญ่โตหรูหรามโหฬาร บอกโยมให้สละทรัพย์แต่ตัวเองกลับร่ำรวยมีวัดวากว้างใหญ่ ในขณะที่พระพูดจามึงมาพาโวยอย่างท่านไม่ได้มีคำพูดหวานหูเพื่อหลอกล่อเอาเงินโยมเช่นนั้น ท่านกำลังตั้งคำถามที่ท้าทายสังคมโดยเอาตัวเองเป็นเดิมพัน

           ผู้เขียนค้นหาในอินเทอร์เน็ตพบข้อมูลเพิ่มเติมว่าหลวงพ่อรูปนี้คือ "พระเกษม อาจิณฺณสีโล" แห่งสำนักสงฆ์สามแยก จ.เพชรบูรณ์ ที่เคยเป็นข่าวเรื่องไม่ให้ชาวบ้านกราบไว้พระพุทธรูปเมื่อ ๒-๓ ปีที่แล้ว จะว่าไปอากัปกิริยาที่ท่านแสดงออกก็เป็นเพียง "เรื่องเปลือกๆ" ภายนอก หากเรามองข้ามเรื่องเปลือกๆ นี้ไป เราจะพบ "สาร" บางอย่างที่ท่านพยายามสื่อ

           ท่านวิจารณ์หลายเรื่องตั้งแต่การกราบไหว้พระพุทธรูปที่เข้าไม่ถึงพระพุทธเจ้าของชาวพุทธ การหลงใหลน้ำหมากน้ำมนต์ เครื่องรางของขลัง

           การทำบุญเป็นแม่บุญทุ่มแบบไม่ลืมหูลืมตา ท่านยังวิพากษ์วิจารณ์ระบบชนชั้นที่เหลื่อมล้ำของหมู่สงฆ์ ความเหลื่อมล้ำทางฐานะของพระสงฆ์ที่มีฐานะร่ำรวยเกินฆราวาส มีเงินเก็บ มียานพาหนะหรูหรา มีวัดวาอารามใหญ่โต ประชาชนพากันกราบไหว้ ในขณะที่ท่านเป็นพระบ้านๆ พูดจาโผงผางไม่เรียบร้อยแต่ต้องการให้ชาวบ้านเข้าถึงความจริง

           ตกลงแล้วอะไรคือแก่นแท้ของความเป็นพระ ?

           หากมองให้ลึกเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ากิริยาเรียบร้อย พูดจาหวานหูของพระสงฆ์ไทยก็เป็น "เปลือก" อย่างหนึ่งที่ห่อหุ้มความเป็นพระเอาไว้ เพราะสังคมคาดหวังให้พระมีบุคลิกเรียบร้อย พูดน้อย สุภาพ อ่อนโยน ซึ่งแท้จริงแล้วพระหลายรูปก็มิได้เป็นเช่นนั้นแต่ต้องสร้าง "เปลือก" แบบนี้ไว้ห่อหุ้มตัวเองตามความคาดหวังของสังคม ความเป็นเปลือกเช่นนี้ยังรวมไปถึง "พระกะเทย" ที่มีบุคลิกออกสาวที่ชาวพุทธจำนวนมากยังรู้สึกทำใจได้ยากจนอยากให้พระกะเทยเหล่านั้น "สวมเปลือก" แห่งความเป็นชายมาดแมนเข้าไว้

           ถึงที่สุดแล้วเราแทบไม่รู้เลยว่า "ความเป็นเปลือก" ที่พระสงฆ์แต่ละรูปแสดงออกมานั้น ปฏิปทาภายในของท่านเป็นอย่างไร ตัวตนที่แท้จริงของท่านเป็นอย่างไร และตัวตนของท่านได้ห่อหุ้มไว้ด้วยอะไรบ้าง ในที่สุดแล้วความเป็นเปลือกที่แสดงออกภายนอกก็ไม่สามารถวัดได้ว่าใครเป็นพระแท้ ใครเป็นพระเทียม ใครเป็นพระแค่เปลือก

           พระที่พูดจาโผงผางอาจจะเป็นพระดีก็ได้ พระที่พูดจ๊ะจ๋าอาจจะเป็นพระที่ตลบตะแลงก็ได้ พระที่เป็นกะเทยอาจจะเป็นพระสุปฏิปันโนก็ได้ ฯลฯ

           แต่สิ่งที่ผู้เขียนมองเห็นเกี่ยวกับหลวงพ่อเกษมมากไปกว่ากิริยาภายนอกมึงมาพาโวยก็คือ "จิตที่มั่นคง" ของท่านเอง

           นักปฏิบัติธรรมหลายท่านเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งมักหวั่นไหว ไม่นิ่ง มีความกังวล ในขณะที่บุคลิกของพระเกษมกลับดูมั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่านไมได้ออกไปทำอะไรนอกวัด ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในวัดของท่านเอง แต่ท่านกลับท้าทายให้สื่อเข้าไปทำข่าวค้นหาความจริงในวัดของท่าน ถ้าเป็นนักเลงก็น่าจะเรียกว่า "นักเลงธรรมะ" มากกว่าจะเป็น "นักเลงอันธพาล"

           ในวิดีโอคลิปท่านไม่ได้ทำร้ายใคร เพียงแต่ท่านแสดงกิริยาที่ไม่ได้เป็นไปตามมารยาทของพระภิกษุจะพึงปฏิบัติ ถึงแม้คลิปล่าสุดที่ถูกปล่อยออกมาจะแสดงอาการเอาเท้าไป "เตะก้านคอ" อย่างที่หนังสือพิมพ์ลงข่าว แต่เมื่อเข้าไปดูจริงๆ กลับพบว่าเป็นเพียงการยกเท้าไปแตะที่หัวไหล่ของพระลูกวัดรูปหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีการเตะก้านคอเหมือนอย่างที่หนังสือพิมพ์ลง จึงเป็นเรื่องของการแสดงมากกว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง บางครั้งการรับข่าวสารจากสื่อจึงเป็นสิ่งที่เราควรมีสติพิจารณาไตร่ตรอง

           ในวัฒนธรรมของเซนมีการยกย่องนักปฏิบัติผู้มีความมั่นคงทางจิต ไม่หวั่นไหว เพราะความไม่หวั่นไหวถือเป็นภูมิธรรมประการหนึ่ง

           ตอนที่ "พระวักกลิ" เฝ้าติดตามพระพุทธเจ้าไปทุกที่เพราะชื่นชมในพระสรีระของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ยังต้องหันมาใช้วิธีแรงๆ กับพระวักกลิด้วยการไล่ท่านออกไปไกลๆ จนพระวักกลิเกิดการบรรลุธรรมในที่สุด

           อาจารย์สอนธรรมะจึงจำเป็นต้องมีหลากหลายบุคลิกแตกต่างกันไป เพื่อให้พร้อมกับการบรรลุธรรมของลูกศิษย์

           การปรากฏตัวของหลวงพ่อเกษมในครั้งนี้ ชาวพุทธน่าจะได้เรียนรู้อะไรจากท่านมากมาย มากกว่าจะมองภายนอกอย่างผิวเผินแล้วตัดสินว่าท่านเป็นพระก้าวร้าวทำให้ศาสนาเสื่อม เพราะสิ่งที่เราเห็นจากสื่อไม่สามารถเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันเป็นจริงตามที่เราเห็น