
พระหลวงปู่ศุขพิมพ์ประภามณฑลเนื้อเมฆสิทธิ์
พระหลวงปู่ศุขพิมพ์ประภามณฑลเนื้อเมฆสิทธิ์ : พระองค์ครู โดย ไตรเทพ ไกรงู
"อักโขหะมัสสะมิ โลกัสสะ อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตาอิติโพธิ์มะนุปัตโต อิติปิโสจะเต นโม อะระหังลาโภ พุทโธ ลาภัง นาชาลิติ นะมะพะทะ สัพเพชะนา พหูชะนา ราชาปุริโส อิตถิโยมาพัง เอหิจิตตังปิยังมะมะ เอหิมาเรโสมามา อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ"
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นคาถาเมตตามหาเสน่ห์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท ทั้งนี้ หากใครจะใช้คาถาบทนี้ต้องเริ่มด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ แล้วตั้งสมาธิให้มั่นระหว่างการภาวนา คาถานี้จึงจะสัมฤทธิผล
พระเครื่องของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นที่นิยมทั้งสิ้น เช่นเหรียญหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พ.ศ.๒๔๖๖ เป็นเหรียญที่จัดอยู่ในชุดเบญจภาคีเหรียญพระเกจิอาจารย์ สวยๆ จริงๆ ต้องมีล้านขึ้น โดยเฉพาะพระหลวงปู่ศุข พิมพ์ประภามณฑล เนื้อเมฆสิทธิ์ อย่างกับในภาพที่ยกมาเป็นพระองค์ครูฉบับนี้ต้องมีเงินหลักล้านถึงจะได้ครอบครอง
นอกจากนี้แล้วยังมีพระหลวงปู่ศุขอีกหลายรุ่นที่ขึ้นชื่อว่าแพง เช่น พระปิดตากรมหลวงฯ พระพิมพ์แจกแม่ครัว พระหลวงปู่ศุข พิมพ์รัศมี หลวงปู่ศุข เนื้อชิน พระหลวงปู่ศุข และพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซึ่งมีหลายแม่พิมพ์ก็มีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสน แล้วแต่พิมพ์ เนื้อหา และความสวยสมบูรณ์
หลวงปู่ศุข ท่านธุดงค์มาปักกลดที่วัดมะขามเฒ่า ในสมัยนั้นมีชื่อว่า วัดอู่ทอง ซึ่งเป็นวัดร้าง และท่านก็จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้มาตลอด โดยโยมมารดาของท่านได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่วัดแห่งนี้ ต่อจากนั้นท่านก็ได้พัฒนาจากวัดร้างจนเป็นวัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่า และมีพระมาจำพรรษาหลายรูปในปีพ.ศ.๒๔๓๔ และท่านก็ได้สร้างวัดให้เจริญรุ่งเรือง จนได้รับพระราชทานวิสุงคามในปีพ.ศ.๒๔๔๐ ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดปากคลองมะขามเฒ่า" หรือเรียกสั้นๆ ว่า วัดมะขามเฒ่า
หลวงปู่ศุขท่านเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดเป็นที่รักเคารพของผู้คนโดยทั่วไป และได้รับนิมนต์มาที่กรุงเทพฯอยู่เสมอ ทั้งนี้เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๗ เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ก็เสด็จขึ้นไปทางเรือไปกราบและฝากเป็นศิษย์คนสำคัญของหลวงปู่ศุขด้วย
ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๖๔ หลวงปู่ศุข ท่านเริ่มไม่ค่อยแข็งแรงนัก ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๖ ท่านก็เริ่มอาพาธมากขึ้น แต่ก็ยังเดินเหินได้บ้าง ในเดือนพฤศจิกายนท่านก็เริ่มอาพาธมากขึ้นเรื่อยๆ และมรณภาพลงในวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๖ สิริอายุได้ ๗๕ ปี พรรษาที่ ๕๐