พระเครื่อง

(หลวง)พ่อครัวหัวป่าก์ทำอาหารเลี้ยงโยม

(หลวง)พ่อครัวหัวป่าก์ทำอาหารเลี้ยงโยม

10 ส.ค. 2554

(หลวง)พ่อครัวหัวป่าก์หลวงพ่อรวยวัดม่วง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โดย ไตรเทพ ไกรงู

          คำว่า "ภัต" หรือ "ภัตร "หมายถึงข้าว อาหารของกิน ส่วนคำว่า "ภัตตาหาร" แปลว่า อาหารคือภัต หมายถึงอาหารสำหรับพระสงฆ์ฉัน เช่น พูดว่าพระสงฆ์ฉันภัตตาหาร ก็หมายความว่า พระสงฆ์ฉันอาหารนั่นเอง ส่วนจุดประสงค์ในการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ๑.เพื่อเป็นการถวายความอุปถัมภ์ให้แด่พระสงฆ์ ๒.เป็นการทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และ ๓.เป็นการทำบุญในพระพุทธศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเอง

           ภาพญาติโยมจัดเตรียมและหุงหาอาหารเพื่อนำไปถวายภัตตาหาร คือ การทำบุญเลี้ยงพระในงานบุญต่างๆ เป็นภาพที่คุ้นตาคนไทยเป็นอย่างดี ในทางกลับกันภาพพระจัดเตรียม และหุงหาอาหารเพื่อนำไปถวายพระและเลี้ยงญาติโยมอาจจะพบได้ไม่บ่อยครั้งนัก อย่างเช่น ที่วัดม่วง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี  ซึ่งมีพระครูโสภิตบุญญาคม หรือ หลวงพ่อรวย เจ้าคณะตำบลอินทร์-น้ำตาลและเจ้าอาวาส

           สิ่งหนึ่งที่ถือว่าน่าจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของหลวงพ่อรวยคือ แทนที่จะฉันภัตตาหารที่ญาติโยมใส่บาตรหรือกิจนิมนต์ในงานบุญต่างๆ โดยเฉพาะงานบุญของวัดม่วง ๒ งาน คือ งานทำบุญครบรอบวันมรณภาพอดีตเจ้าอาวาส และงานบุญทอดกฐิน ท่านกลับทำอาหาร ทั้งคาวหวาน ด้วยฝีมือการปรุงรสของท่านเอง จนเป็นที่รู้กันในหมู่วงการสงฆ์ว่า “อาหารคาวหวานฝีมือหลวงพ่อรวยอร่อยมาก” ถึงขนาดพระด้วยกันเองตั้งสมญาว่า “หลวงพ่อครัวหัวป่าก์”

           อาหารคาวหวานที่ทำนั้น นอกจากจะทำเลี้ยงในงานบุญใหญ่ของวัดแล้ว หลวงพ่อรวยก็จะทำไปช่วยงานพระด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นงานทำบุญวันเกิด งานฉลองสมณศักดิ์พัดยศของพระผู้ใหญ่ เช่น งานทำบุญครบรอบการมรณภาพ ๕๐ วัน สมเด็จวัดชนะสงคราม งานอบรมพระนักเทศน์วัดประยุรฯ กทม. รวมทั้งพระที่เป็นสหธรรมมิกที่ชอบพอกัน หากรู้ว่าวัดของท่านมีงานก็จะทำอาหารไปช่วยท่าน รวมทั้งงานบุญ งานมงคลของญาติโยมที่นับถือกันก็จะทำอาหารไปช่วยด้วย ระยะหลังนี้มักจะทำน้ำกะทิลอดช่องไปช่วยเพียงอย่างเดียว เพราะทำง่ายและขนส่งง่าย

           หลวงพ่อรวย บอกว่า เมื่อหลายปีก่อนลงมือทำด้วยตัวเองทั้งหมด โดยมีลูกศิษย์เป็นลูกมือคอยหั่นหมู หันไก่ หั่นผัก โดยตัวเองจะเป็นผู้ปรุง จากนั้นก็ถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ชนิดไม่หวงกัน จนในที่สุดก็ไม่ต้องลงมือทำเองเสียทั้งหมด เพียงแค่คอยกำกับอยู่เบื้องหลังเท่านั้น แต่มีอาหารคาวและของหวาน ๓ ชนิด ที่ยังต้องทำด้วยตัวเอง คือ น้ำพริกกะปิ น้ำกะทิลอดช่อง และข้าวหมาก ซึ่งมีสูตรและเคล็ดลับโดยเฉพาะ

           ส่วนความอร่อยหรือไม่อร่อยของอาหารนั้น หลวงพ่อรวย บอกว่า มีองค์ประกอบหลายอย่างรวมกับความสดของวัตถุดิบเป็นสิ่งๆ ที่รู้กันในหมู่พ่อครัว แต่ต่างกันอยู่ที่เครื่องปรุง การทำอาหารทุกชนิดให้อร่อยเครื่องปรุงต้องถึง นอกจากนี้แล้วพ่อครัวแต่ละคนจะทำอาหารอร่อยได้เพียงไม่กี่ชนิด อาหารที่อร่อยจะเป็นอาหารที่พ่อครัวชอบมากเป็นพิเศษ อย่างอาตมาชอบฉันน้ำพริกกะปิ ชอบฉันข้าวหมาก จึงตั้งใจทำให้อร่อยมากเป็นพิเศษ

           ทั้งนี้ หากเปรียบการทำอาหารของพ่อครัวก็ไม่ต่างจากการเทศนาสอนญาติโยมของพระ การทำอาหารของพ่อครัวมีจุดประสงค์เพื่อให้คนอิ่มกาย การเทศนาของพระทำให้คนอิ่มใจ ส่วนวิธีการปรุงอาหารของพ่อครัวก็เปรียบได้กับลูกเล่นการเทศนาของพระว่าจะใช้รูปแบบหรือวิธีการใด พระบางรูปถนัดเทศน์เนื้อธรรมล้วนๆ บางรูปเทศน์แบบใส่ทำนองแหล่ หลายรูปใส่มุกตลกผสมความฮาเพื่อให้ญาติโยมไม่เบื่อ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะต่างก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คนเข้าถึงธรรมได้เช่นกัน ที่สำคัญคือ ทำให้ญาติโยมก็มีทางเลือกที่จะฟังธรรมแบบตนชอบ หรือที่เรียกว่าถูกจริตกับตัวเอง

           เมื่อถามถึงเรื่องอาบัติหรือไม่ตามวินัยสงฆ์ หลวงพ่อรวย พูดไว้อย่างน่าคิดว่า “ตามวินัยสงฆ์มีข้อกำหนดว่า พระห้ามปรุงหรือทำอาหารฉันเอง แต่อาตมามองถึงประโยชน์และสิ่งที่ได้เป็นหลัก อาบัติพระทำอาหารเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมามากกว่า นอกจากเป็นทานแล้ว ญาติโยมยังรู้สึก หลายครั้งที่โยมนิมนต์ไปฉันที่บ้าน อาตมาก็จะทำน้ำกะทิลอดช่องไปช่วย โยมก็ปลื้ม ตามหลักของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงให้ ลด ละ เรื่อง รูป รส กลิ่น และเสียงนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดสำหรับผู้หวังบรรลุ มรรค นิพพาน แต่อีกมุมหนึ่งการได้ลิ้มรสอาหารอร่อยย่อมทำให้ผู้นั้นมีจิตใจที่เบิกบาน เพราะใครๆ ก็อยากกินแต่ของอร่อยกันทั้งนั้น อาตมาไม่ได้หวังให้ญาติโยมติดในรสชาติของอาหาร การทำอาหารของอาตมานั้น เพื่อต้องการจะซื้อใจญาติโยมมากกว่า เมื่อพระได้ใจโยมคิดบอกบุญหรืออะไรก็สำเร็จ"


พระสายอินเดียต้องทำครัวเป็น

           "พระทุกรูปที่เรียนจบจากประเทศอินเดียไม่ว่าจะเป็นจากวัดไหน มหาวิทยาลัยใด เรียนอยู่ระดับใด ล้วนมีประสบการณ์จ่ายกับข้าวซื้อของในตลาด กลับมาถึงที่พักก็ต้องเข้าครัวหุงข้าว ต้มแกง ตำน้ำพริก เพื่อฉันเองกันทั้งนั้น ยิ่งเป็นพระยุคบุกเบิกต้องพึ่งตัวเองมากกว่ายุคปัจจุบันนี้ พระระดับเจ้าคุณที่เคยอยู่อินเดียรู้เรื่องดี และถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก เพราะที่อินเดียการทำบุญด้วยการใส่บาตรไม่มีแล้ว"

           นี่เป็นคำยืนยันของ พระ ดร.มหาไพเราะ ฐิตสีโล เจ้าอาวาสวัดสระแก้ว ผู้ซึ่งใช้ชีวิตศึกษาอยู่ในอินเดียกว่า ๑๐ ปี ตั้งแต่เรียนปริญญาตรี มหาวิทยาลัยนาลันทา ปริญญาโท มหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย และปริญญาเอก มหาวิทยาลัยสันสกฤต จากประเทศอินเดีย

           พร้อมกันนี้ พระ ดร.มหาไพเราะ ยังบอกด้วยว่า พระธรรมทูตในอินเดียต้องมีความสามารถทำได้ทุกอย่าง อาจจะเรียกว่าพระซูเปอร์แมนก็ไม่ผิดนัก นอกจากจะต้องเป็นนักเทศน์ นักการทูต นักวิชาการ นักสังคมสงเคราะห์ นักกฎหมาย นักจัดกิจกรรม นักบริหาร ยังต้องเป็นนักการตลาดการประชาสัมพันธ์ด้วย ทำหน้าที่จัดทำเอกสารหนังสือเดินทาง ถ่ายภาพ บันทึกการเดินทาง ทำแผนผังการท่องเที่ยว ออกบรรยาย หิ้วย่ามตามคณะทัวร์ นำไหว้พระสวดมนต์ ฯลฯ เป็นพระนักเทศน์นักสอน บางทีทำหน้าที่เป็นกุ๊กด้วย เพราะไม่มีใครปรุงอาหาร พระนี่แหละเป็นคนปรุง จึงกลายเป็นอาหารรสพระทำจริงๆ

           เรื่องพระทำอาหารเพื่อเลี้ยงพระ เลี้ยงญาติโยมนั้น เป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกครั้งที่มีการจัดงานประชุมพุทธศาสนานานาชาติ การประสาทปริญญาบัตรให้แก่พระนิสิตของ มจร. ในฐานะที่เป็นประธานฝ่ายสวัสดิการ ต้องรับผิดชอบเรื่องการหุงหาอาหารเพื่อเลี้ยงทั้งพระ ทั้งฆราวาสนับพันๆ คน ต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้อาหารเพียงพอเลี้ยงผู้มาร่วมงาน จากบทบาทที่เคยมีคนนำอาหารมาเลี้ยงพระ กลับกลายเป็นพระหาอาหารไปเลี้ยงคน ซึ่งเป็นการเกื้อหนุนกันอย่างลงตัว