
อ.ตรียัมปวาย สอนผมว่า ดูพระต้องใจเย็นๆจั๊ว ตลาดพลู เสาหลักของวงการพระ
อ.ตรียัมปวาย สอนผมว่า ดูพระต้องใจเย็นๆจั๊ว ตลาดพลู เสาหลักของวงการพระ : เส้นทางนักพระเครื่อง โดยตาล ตันหยง
วงการพระเครื่องเมืองไทย ในทุกวันนี้มีคนรุ่นใหม่เข้ามาซื้อขายพระเครื่องเป็นธุรกิจกันมากขึ้น ในขณะที่คนรุ่นเก่าค่อยๆ หายไป ด้วยปัญหาสุขภาพบ้าง บางท่านมีปัญหาทางสายตา และความจำเป็นด้านอื่นๆ รวมทั้งที่อำลาจากโลกนี้ไปแล้วก็มีเป็นจำนวนมาก ยุคนี้จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวสำหรับ จั๊ว ตลาดพลู (บรรจง จงปัญญางาม) แม้จะเป็นคนเก่าแก่ ผู้ผ่านวงการพระมานานกว่า ๕๐ ปี แต่ก็ยังมีสายตาในการดูพระทุกประเภทได้อย่างเฉียบขาดเหมือนเดิม โดยเฉพาะพระชุดเบญจภาคี และพระหลักยอดนิยมทุกประเภท
ถิ่นฐานบ้านเกิดของ จั๊ว อยู่ที่สี่แยกตลาดพลู ตรงสถานีรถไฟสายแม่กลอง เมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่นได้เข้าทำงานที่ร้านทองของญาติ ทำทุกหน้าที่ของร้านทอง จึงมีโอกาสได้พบเห็นลูกค้าเอาพระมาเลี่ยมทองบ่อยๆ โดยเฉพาะพระสมเด็จ สมัยนั้นมีผู้นำมาเลี่ยมกรอบทองเป็นประจำ
ความสนใจพระเครื่อง เริ่มมีขึ้นครั้งแรกจากเพื่อนคนหนึ่งมาซื้อพระที่ทางร้านไปซื้อของหลุดจากโรงจำนำ โดยแกะเอาทองเก่าออก ส่วนพระวางก็ขายในร้าน โดยไม่รู้ว่าเป็นพระอะไร แท้หรือไม่ก็ไม่รู้
เพื่อนคนนี้เป็นเซียนพระ มาซื้อพระเหล่านี้บ่อยๆ แสดงว่าต้องได้พระแท้ไปบ้าง จึงขอคำแนะนำจากเขาว่า พระแท้เก๊ดูอย่างไร ดูตรงไหน ซึ่งเขาก็บอกให้เท่าที่รู้
ต่อมาได้ไปหัดเลี่ยมกรอบพระพลาสติก เพื่อนำมาประกอบในกรอบทองคำ โดยไปหา สมัคร วัดราช ซึ่งสมัยนั้นเปิดร้านเลี่ยมกรอบพระพลาสติกอยู่ที่เชิงสะพานพุทธ ก็ได้เรียนรู้วิธีเลี่ยมกรอบพระพลาสติกจนทำเป็น จึงกลับมาเลี่ยมกรอบพลาสติกองค์พระก่อนจับขอบทองคำ
จั๊ว ตลาดพลู เล่าว่า “ช่วงที่ไปหาคุณสมัครบ่อยๆ ได้ซื้อเหรียญพระจากเขาเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ซื้อเหรียญพระอะไรมา ผมจะขอซื้อต่อทันที เพราะเขาดูเหรียญพระได้แม่น จึงมั่นใจได้ว่าเป็นของแท้ ช่วงนั้นผมได้ซื้อเหรียญพระจากคุณสมัครนับเป็นร้อยๆ เหรียญ ไม่ว่าจะเป็นเหรียญหลวงปู่ศุข วัดปากคลองฯ เหรียญหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย ราคาไม่กี่ร้อยบาท ผมได้อาศัยเหรียญที่ซื้อมานี้เป็นครูสอนวิธีดูเหรียญว่าของแท้ดูตรงไหนอย่างไร จนจำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสมัยนั้นเหรียญปลอมที่เฉียบขาดจริงๆ ยังมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเหรียญแท้”
จั๊วทำงานร้านทองได้ ๒-๓ ปี เกิดอยากจะเปลี่ยนงานทำใหม่ แต่ไม่มีเงินทุนพอ จึงเอาเหรียญที่เก็บไว้ทั้งหมด ไปขายที่ตลาดพระวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ โดยเอาไปวันละไม่กี่เหรียญ ปรากฏว่าขายได้หมดทุกวัน ลูกค้าจะรอซื้อเหรียญจากจั๊วเป็นประจำ จนในที่สุด เหรียญที่เก็บไว้หลายร้อยเหรียญก็หมด
“ช่วงที่ผมเข้าสนามพระวัดพระมหาธาตุ ได้รู้จักกับเซียนพระหลายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์ตรียัมปวาย ปรมาจารย์ด้านพระสมเด็จ วัดระฆัง-บางขุนพรหม และพระชุดเบญจภาคี ท่านเมตตาผมมาก ได้แนะนำวิธีดูพระสมเด็จพิมพ์ต่างๆ ให้อย่างละเอียด ตามตำราที่ท่านได้เขียนไว้ ในบางครั้งท่านยังให้ผมยืมพระสมเด็จ วัดระฆัง ใช้ติดตัวบ่อยๆ (สมัยนั้นพระสมเด็จองค์ละ ๒-๓ หมื่นบาท) ผมก็ได้เรียนรู้ดูพระสมเด็จของแท้องค์จริงจากท่านโดยตรง จะเรียกว่าเป็นลูกศิษย์ของท่านก็ได้ มาถึงจุดนี้ผมไม่ได้ซื้อเหรียญพระอีกแล้ว แต่ได้มุ่งหาเฉพาะพระสมเด็จเท่านั้น โดยหาซื้อที่วัดมหาธาตุ และสนามพระท่าพระจันทร์ ทั้ง ๒ แห่งนี้มีพระสมเด็จเข้าแทบทุกวัน บางองค์คนอื่นดูแล้วบอกว่าเป็นพระเก๊ ไม่เอา แต่เมื่อถึงมือผมซื้อทันที เพราะผมดูพระตามหลักวิชาของท่าน อ.ตรียัมปวาย ทุกอย่าง สมัยก่อนคนซื้อพระสมเด็จ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จุดสังเกต แต่ผมรู้ เพราะ อ.ตรียัมปวาย สอนให้ผม วงการพระสมัยนั้นนิยมพระเนื้อฉ่ำๆ พอเจอพระเนื้อแห้งก็ไม่กล้าซื้อ แต่ผมซื้อ พระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่ กรุบางขุนพรหม องค์ละ ๕ พันบาท ถ้าเป็นพระหักชำรุด ชิ้นละไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น อ.ตรียัมปวาย จะสอนผมเสมอว่า การดูพระต้องใจเย็นๆ ต้องรอบคอบในทุกด้าน อย่าประมาท ผมได้ยึดคำสอนของท่านตลอดมา ทำให้ผมจดจำพิมพ์ทรงองค์พระสมเด็จได้แม่นทุกพิมพ์และทุกวัด” เฮียจั๊ว กล่าว
มาถึงจุดนี้ คนในสนามพระถึงได้ยอมรับว่า เฮียจั๊ว ดูพระสมเด็จได้แม่นดีมีมาตรฐาน จึงพากันคอยดักซื้อพระต่อ เมื่อเฮียจั๊วได้ซื้อพระสมเด็จจากผู้นำพระเข้าไปขายในสนามท่าพระจันทร์ โดยได้ซื้อทุกวัน ส่วนใหญ่คนที่ได้ซื้อต่อจากเฮียจั๊ว ก็คือคนในสนามพระด้วยกัน เฮียจั๊วไม่นิยมขายพระให้คนนอก เพื่อให้คนในสนามพระได้มีกินมีใช้ด้วยกัน
นับได้ว่า เฮียจั๊ว เป็นเสาหลักของวงการพระในสมัยนั้น และเป็นยุคทองของเซียนพระดังคนนี้อย่างแท้จริง
นอกจากพระสมเด็จ วัดระฆัง-บางขุนพรหม-เกศไชโย แล้ว เฮียจั๊ว ยังสามารถดูพระชุดเบญจภาคี และพระหลักยอดนิยมอื่นๆ ได้อีกด้วย โดยอาศัยพื้นฐานการดูพระด้วยหลัการเดียวกัน คือ ดูพิมพ์ทรง ดูเนื้อพระ และความเก่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
พระส่วนใหญ่ที่ เฮียจั๊ว ซื้อมาและขายไปล้วนเป็นพระแท้ดูง่าย จึงไม่น่าแปลกใจที่ชื่อเสียงของเฮียจั๊วโด่งดังไปทั่วทุกวงการ ลูกค้าส่วนหนึ่ง คือ พ่อค้า นักธุรกิจผู้บริหารองค์กรใหญ่ รวมทั้งข้าราชการผู้ใหญ่ แม่ทัพนายกองต่างๆ บางท่านติดต่อมาโดยตรง บางท่านให้ลูกน้องมาหาก็มี
ในส่วนที่ เฮียจั๊ว ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์คนโปรดของพระเดชพระคุณ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ท่าพระ ธนบุรี นั้น เฮียจั๊ว กล่าวว่า เกิดจากการชักชวนของเพื่อนชื่อ “สือ” คงศักดิ์ เลิศฤทธิ์อนันต์ เขาจะพาไปให้หลวงปู่ครอบครูรับเป็นลูกศิษย์ เมื่อได้ไปกราบหลวงปู่โต๊ะเป็นครั้งแรก เฮียจั๊วบอกว่า
“ผมรู้สึกเกิดความศรัทธาเลื่อมใสและประทับใจหลวงปู่ทันทีที่พบเห็น ว่านี่แหละคือพระบริสุทธิสงฆ์อย่างแท้จริง หลังจากนั้นผมก็ได้เข้าไปกราบหลวงปู่บ่อยๆ จนท่านจำผมได้ และบ่อยครั้งที่ท่านจะสอนธรรมะให้ด้วย โดยกำชับเสมอๆ ว่า อย่าทำบาป และอย่าเล่นการพนัน”
ในปี ๒๕๑๐ เฮียจั๊ว กับ สือ ได้ร่วมกันจัดสร้าง เหรียญหลวงปู่โต๊ะ รุ่นแรก เนื่องในโอกาสทำบุญอายุหลวงปู่ครบ ๘๐ ปี โดยเฮียจั๊วเป็นคนออกแบบเหรียญ แล้วให้กองกษาปณ์แกะแม่พิมพ์พร้อมกับปั๊มเหรียญ ด้วยเนื้อทองคำ ๑๗ เหรียญ เงิน ๑๒๐ เหรียญ นวโลหะ ๒,๕๐๐ เหรียญ และเนื้อทองแดง ๓,๐๐๐ เหรียญ จุดประสงค์ในการจัดสร้าง เพื่อให้ชาวบ้านได้รู้จักหลวงปู่ในวงกว้าง ทั้งนี้ ผู้จัดสร้างเหรียญไม่ได้คิดเอากำไรในแง่ของธุรกิจแต่อย่างใด ตั้งใจจะให้หลวงปู่แจกชาวบ้านฟรี แต่บังเอิญช่วงนั้นจำเป็นต้องใช้เงินจ่ายค่าลิเกและงิ้ว ที่ว่าจ้างไปในแสดงในงานวัด จึงขออนุญาตหลวงปู่นำเหรียญรุ่นแรก ออกมาให้ชาวบ้านทำบุญ เนื้อทองแดง เหรียญละ ๒๐ บาท เนื้อนวโลหะ ๕๐ บาท (ทุกวันนี้ขึ้นหลักหมื่นหลักแสนไปหมดแล้ว) เหรียญรุ่นแรกนี้มีโค้ดรูปดาว ตอกที่โบว์ด้านซ้ายมือหลวงปู่ทุกเหรียญ
บนเส้นทางที่ผ่านมา เฮียจั๊ว บอกว่าได้ซื้อขายพระอยู่ในสนามพระวัดมหาธาตุ ๑๐ ปี สนามพระท่าพระจันทร์ ๓๐ ปี และที่ ชมรมพระเครื่องมรดกไทย ชั้น ๓ ห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ๑๐ ปี เรียกว่าค่อนชีวิตที่ได้คลุกคลีอยู่ในวงการพระมาโดยตลอด
นับเป็น เซียนพระรุ่นอาวุโส ที่ยังคงเป็น เสาหลัก ให้บรรดาคนรุ่นน้องรุ่นลูกรุ่นหลานได้เคารพศรัทธา และยึดถือเป็นตัวอย่างในทางที่ดีงามตลอดไป •••