
พล.ต.ต.ปรีชา เจริญสหายานนท์ กับบทเรียนอันแสนสาหัส "เช่าพระแพงยิ่งกว่าพระ"
"ข้อหารับซื้อของโจร" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ ระบุไว้ว่า ผู้ใด ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งทรัพย์ อันได้มา โดยการกระทำความผิด ถ้า ความผิดนั้น เข้าลักษณะ ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำเพื่อค้ากำไร หรือได้กระทำต่อทรัพย์ อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ (๑๐) ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ ทวิ การชิงทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๙ ทวิ หรือการปล้นทรัพย์ตามมาตรา ๓๔๐ ทวิ ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
การถูกกล่าวหารับซื้อของโจรสำหรับชาวบ้านทั่วไป โดยเฉพาะผู้ไม่รู้กฎหมายอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เมื่อตำรวจกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหารับซื้อของโจร และยิ่งเป็นเรื่องไม่ธรรมดาเพราะเกิดขึ้นกับ พล.ต.ต.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยอง (ผบก.ภ.จว.ระยอง)
พล.ต.ต.ปรีชา เล่าให้ฟังว่า เคยเป็นสารวัตรใหญ่ ที่สภ.ปากน้ำประแสร์ จ.ระยอง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็น รอง ผกก. จากนั้นย้ายไปที่อื่น จนเป็น ผบก.ภ.จว.ชัยนาท เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พ.ต.อ.วีรพงศ์ วงษ์สมาน เพื่อนกันเลื่อมใส พระครูมนูญธรรมวัตร หรือ หลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ก็ชวนสร้าง เหรียญหลวงพ่อสาคร รุ่นบารมี ๕๓ ให้ผู้ศรัทธาบูชากัน
โดยส่วนตัวนับถือหลวงพ่อสาครอยู่แล้ว จึงไม่ปฏิเสธ และก็เช่าบูชาไว้เองหลายเหรียญ ตั้งแต่คล้องติดตัวรู้สึกสบายใจ และมีสิ่งดีๆ เข้ามาตลอด อยู่ๆ ได้รับคำสั่งให้ย้ายข้ามภาคมาเป็น ผบก.ภ.จว.ระยอง อย่างน่าประหลาด รู้สึกว่าอาจเป็นเพราะบารมีหลวงพ่อ ทำให้กลับมาอยู่ระยองอีกก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังแขวนพระหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ และพระหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ โดยเช่ามาจากนายสมภพ ไทยธีระเสถียร หรือ อั๊ง เมืองชล อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย
เมื่อสมัยเด็กๆ เคยเป็นเด็กวัดกำแพง จ.ชลบุรี ทำให้มีความสนใจเรื่องพระมาตั้งแต่เด็ก ใครให้พระมาก็เก็บ เมื่อทำงานมีเงินก็เช่าพระเก็บสะสม เริ่มจากพระราคาหลักร้อย และก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ ชอบองค์ไหนก็เช่าเก็บไว้ เพราะคิดอยู่เสมอว่า พระเครื่องเป็นความสุขทางใจ ดีกว่านำเงินไปใช้ด้านอื่น
หลังจากเรียนจบ ร.ร.นายร้อยตำรวจสามพราน เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๘ ก็เริ่มเช่าพระเครื่องเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น องค์ละ ๒๐๐, ๓๐๐, ๕๐๐ จากนั้นเพิ่มเป็นหลักพัน หลักหมื่นหลักแสน และเคยเช่าพระองค์ละ ๔ ล้านบาท ที่เช่าเพราะชอบ และเช่าเพื่อใช้ ไม่ได้เช่าเพื่อเอาไปขายต่อ
พล.ต.ต.ปรีชา ยังบอกด้วยว่า ปกติไม่เคยรับจำนำพระเครื่องจากใคร จะใช้เงินสดซื้อเสมอ เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๗ มีอยู่ครั้งหนึ่งคนรู้จักที่ชลบุรีมาหา นำพระเครื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระเหรียญ มาให้ดูพร้อมกับพูดในเชิงขอร้องว่า พ่อป่วย ได้นำพระมาฝากไว้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จึงให้เงินไป พร้อมกับให้นำพระองค์ดังกล่าวไปเสนอขาย หากขายได้ก็ให้เอาเงินมาพร้อมกับเอาพระคืนไป
รออยู่เป็นปีก็ไม่มาเอาพระคืนไป จึงตัดสินใจช่วยซื้อ โดยนำพระไปให้เซียนพระที่มณเฑียรดู พร้อมกับตีราคาว่า น่าจะไม่เกิน ๑ แสนบาท แต่ด้วยความรู้จักและสงสารจึงเช่าไปในราคา ๑.๕ แสนบาท เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน รวมทั้งไม่คิดว่าจะซื้อมาเพื่อขายไป แต่เรื่องกลับกลายจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ชนิดที่เรียกว่า จากตำรวจกลายเป็นผู้ต้องหารับซื้อของโจร
พล.ต.ต.ปรีชา เล่าต่อว่า หลังจากนั้นประมาณ ๑ ปี ปรากฏว่าลุงของเจ้าของพระออกมาอ้างว่า หลานไทเกอร์มาและจ่ายเงินยังไม่ครบ มาขอไถ่คืนไป เราก็ให้ไถ่คืนไปโดยไม่คิดอะไร และหลังจากนั้นอีก ๒ ปี มีการทำหนังสือร้องไปยังผู้บังคับบัญชาว่า “ผมเป็นหัวหน้าแก๊ง เป็นโจรเรียกค่าไถ่ พร้อมกับให้ชดใช้เงินตามมูลค่าพระที่หลานเอาไปหลายล้านบาท”
ไม่เคยคิดเลยว่าอยู่ดีๆ จะมีคนกล้ามาตั้งข้อกล่าวหาอันแสนสาหัส จากพระเอกกลับกลายเป็นผู้ร้าย ซึ่งอาจจะเรียกว่า ถึงคราวซวย โดยได้ทำหนังสือชี้แจงผู้บังคับบัญชา ซึ่งก็อธิบายได้ทุกข้อร้องเรียน จากนั้นเขาก็ไปร้องสื่อทั้ง วิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ว่า “ตำรวจกลั่นแกล้งประชาชน ตำรวจรับซื้อของโจร”
“ผมฟ้องเขาในคดีหมิ่นประมาทในข้อหาว่าเป็นโจรเรียกค่าไถ่ ส่วนคดีเขาฟ้องผมในข้อหารับซื้อของโจร ในชั้นต้นศาลตัดสินไม่ประทับรับ ผมเป็นคนดีเกินไปมั่ง เขาถึงย่ามใจกล้าทำกับตำรวจ การมาร้องเรียงผ่านสื่ออย่างไรก็ต้องมีการเจรจาเพื่อไม่ให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ขอโทษผมไม่ใช่คนผิด สุดท้ายก็ต้องขึ้นสู่กระบวนการตัดสินยุติธรรมของศาล” พล.ต.ต.ปรีชา กล่าวทิ้งท้าย
ข้อคิดถึงคนวงการพระเครื่อง
พล.ต.ต.ปรีชา บอกว่า ทุกวงการ ทุกสมาคม มีคนดีคนเลวปนกัน จากประสบการณ์ที่ได้ประสบมาด้วยตัวเอง ก็อยากฝากถึงคนในวงการพระเครื่องว่า กรณีเช่นนี้ทางสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทยต้องช่วยกันตรวจสอบ เซียนพระที่มาหากินในทางที่ไม่ถูกต้องกับการเช่าซื้อพระเครื่อง เพราะพระไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นของใคร ในการเช่าพระทุกคนคิดว่าพระย่อมเป็นของคนที่ถือหรือครอบครองพระนั้นมาขาย
ถ้าคนอย่างนี้อยู่ในวงการพระเครื่อง ก็จะทำให้คนดีๆ ไม่กล้าเข้ามาในวงการพระเครื่อง วันนี้เราซื้อพระ ต่อมาอีก ๒ วัน กลับเจอข้อหารับซื้อของโจร ในที่สุดคนก็ไม่กล้าเข้ามาในวงการพระเครื่อง ขนาดผมเป็นตำรวจ รู้กฎหมาย นั่งเช่าพระอยู่บนโรงพักแท้ๆ (สน.สำโรงเหนือ สมุทรปราการ เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๖) แต่เกือบเอาตัวไม่รอด ผมไม่รู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรีของการเป็นตำรวจ แต่ผมคิดว่าเจอคนเลวในสังคม บทเรียนครั้งนี้ผมถือว่าแพงกว่าพระ
คนที่ร้องเรียนผมเป็นคนในวงการพระเครื่อง ผมเข้ามาในวงการพระเครื่องด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมไม่เคยเบี้ยวใคร ใช้เงินสดซึ่งเป็นเงินส่วนตัวที่สามารถชำระหนี้สินได้ตามกฎหมาย แต่สุดท้ายผมกลับถูกคนเลวคนหนึ่งในวงการพระเล่นไม่ซื่อ แต่โชคดีวงการพระเครื่องมีคนดีมากกว่าคนเลว
เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู