
ท่องไปในแดนธรรม - วัดกุฎีทอง จ.สิงห์บุรี กับ...๗ งานบุญประเพณีของชาวไทยพวน
"ปลาช่อนเผา แห่งลำน้ำแม่ลา" หรือที่หลายๆ คนมักเรียกติดปากกันว่า "ปลาช่อนแม่ลา" เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของ จ.สิงห์บุรี ส่วนในเรื่องของพระพุทธศาสนามีวัดหลายแห่งที่ขึ้นชื่อ และวัดหนึ่ง คือ วัดกุฎีทอง ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งถือเป็นวัดเก่าแก่ท
นอกจากนี้แล้ว วัดกุฎีทอง ยังเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำ จ.สิงห์บุรี แห่งที่ ๓ วัดเป็นสถานที่ร่มรื่น สะอาดสวยงาม มีศาลาปฏิบัติ ๒ หลัง มีที่พักสำหรับชายและหญิง มีห้องน้ำเพียงพอ เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างดีเด่น เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๑ รวมทั้งยังมีโครงการสร้างคนให้เป็นมนุษย์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙ จนถึงปัจจุบัน ได้ส่งพระวิทยากรไปอบรมนักเรียนและประชาชนทุกๆ ปี หลายจังหวัด อาทิ เชียงราย เชียงใหม่ แพร่ น่าน อุบลราชธานี อุดรธานี และภาคกลาง ทั้งนี้ วัดได้จัดให้มีการเข้าค่ายอบรมนักเรียน ๓ คืน ๔ วัน ส่วนประชาชนทั่วไปอบรม ๗-๙ วัน
พระภาวนาพรหมคุณ หรือ หลวงพ่อเมตตานุศาสน์ อายุ ๘๑ ปี เจ้าอาวาสวัดกุฎีทอง และที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอพรหมบุรี บอกว่า นอกจากการประพฤติปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งคัดแล้ว วัดยังได้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นที่บรรพบุรุษในอดีตได้ยึดถือปฏิบัติมา ซึ่งประเพณีแต่ละประเพณีจะแฝงและซ่อนจริยธรรม คุณธรรม อันดีงามไว้หลายประการ
อย่างไรก็ตาม แม้ในปัจจุบันจะมีผู้เห็นว่า เรื่องประเพณีไม่เห็นจะมีคุณค่าอะไร แต่ประเพณีที่วัดยึดถือและปฏิบัติมา ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาติ เป็นสมบัติอันมีค่าควรแก่การรักษาไว้ ฉะนั้น อาตมาจึงอยากขอให้ประชาชนได้เข้ามาศึกษาให้ละเอียดและลึกซึ้ง โดยเฉพาะประเพณีที่สำคัญของ อ.พรหมบุรี ซึ่งมีทั้งหมด ๗ อย่างด้วยกัน คือ
๑.ประเพณีกำฟ้า ของหมู่บ้านไทยพวน บางน้ำเชี่ยว ๒.ประเพณีกวนข้าวทิพย์ ของหมู่บ้านไทยพวน บางน้ำเชี่ยว ๓.ประเพณีรับขวัญข้าว ของหมู่บ้านพัฒนาศรีพรหมประสิทธิ์ (บ้านเก่า) ๔.ประเพณีประดับดิน ของหมู่บ้านไทยเวียง บ้านแป้ง ๕.ประเพณีมองผ้า ของหมู่บ้านไทยเวียง บ้านแป้ง ๖.ประเพณีศาสนาพิธีกรรมฉลองวัดคริสต์ ของหมู่บ้านพระหฤทัยชัยมงคล และ ๗.ประเพณีศาสนากรรมเสกป่าช้า ของหมู่บ้านพระหฤทัยชัยมงคล เป็นต้น
นอกจากประเพณีอันโด่งดังของชาวไทยพวนแล้ว หลวงพ่อเมตตานุศาสน์ ยังเล่าถึงการจัดทำตะกรุดด้วยว่า เมื่อปี ๒๕๔๒ วัดกุฎีทอง ได้จัดทำตะกรุด เพื่อแจกให้ผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป วัตถุประสงค์เพื่อนำไปเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ประกอบแต่บุญกุศล หมั่นทำความดี โดย "ตะกรุดวัดกุฎีทอง" รุ่นนี้สร้างด้วยเนื้อทองเหลืองแท้ ถูกมัดอยู่กับเชือกควั่น ซึ่งระหว่างการสร้างได้มีการตั้งจิตภาวนาอธิษฐาน และแผ่เมตตา เพราะต้องการให้ชาวบ้านที่นำไปบูชา หรือนำไปใช้ ได้หมั่นทำแต่ความดี
บุญประเพณีของชาวไทยพวน
ประเพณีกำฟ้า เป็นงานบุญพื้นบ้านของชาวไทยพวนที่บ้านบางน้ำเชี่ยว และหมู่บ้านโภคาภิวัฒน์ อ.พรหมบุรี จัดขึ้นเพื่อเป็นการบูชาและระลึกถึงเทพยดาผู้รักษาฟากฟ้า และบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
"วันกำฟ้า" ของพวกไทยพวนในหมู่บ้านต่างๆ จะถูกจัดขึ้นไม่ตรงกัน แล้วแต่ท้องที่ แต่จะถือกันว่าให้จัดขึ้นภายใน ๓ เดือน คือ เดือนอ้ายขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนยี่ ขึ้น ๑๓ ค่ำ และเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ สำหรับใน จ.สิงห์บุรี จะถือเอาวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ของทุกๆ ปีเป็น วันกำฟ้า
หลวงพ่อเมตตานุศาสน์ เล่าถึงประเพณีกำฟ้าว่า ถือเป็นประเพณีสำคัญของชาวไทยพวน ที่ปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านาน เพราะเป็นประเพณีที่ปลูกฝังถึงความเชื่อ และมีการปฏิบัติกันมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว
สำหรับการเกิดของประเพณี "กำฟ้า" เนื่องจากในสมัยก่อน เมืองเชียงขวาง หรือเมืองพวน เคยมีกษัตริย์ปกครอง เรียกกันว่า "เจ้าหลวง" หรือ "เจ้าฟ้า" จนถึงสมัยหนึ่งมีเจ้าชมภูเป็นผู้ครองนคร เป็นเมืองขึ้นต่อหลวงพระบาง และต้องส่งส่วยดอกไม้ทองปีละ ๒ ตำลึง
ต่อมานครเวียงจันทน์ ได้ทำศึกกับนครหลวงพระบาง เจ้านนท์ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเวียงจันทน์ ได้เกลี้ยกล่อมให้เจ้าชมภูหันมาเข้าพวกเป็นฝ่ายเดียวกับตน และให้ยกทัพเมืองพวนไปรบกับเมืองหลวงพระบางจนได้รับชัยชนะ
หลังทำศึก เจ้าเมืองชมภู ไม่ยินยอมที่จะขึ้นกับเมืองเวียงจันทน์ เพราะถือว่าทหารเมืองพวนได้ไปทำศึกจนได้รับชัยชนะมา ดังนั้น ควรที่จะเป็นเอกราช และปกครองด้วยตนเอง
ต่อมาน้องชายของเจ้านนท์ ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของนครเวียงจันทน์ มีคำสั่งให้ท้าวเขียวยกทัพไปปราบและจับตัว เจ้าชมภู ได้ในเวลาต่อมา พร้อมกับส่งตัวเจ้าชมภูไปยังนครเวียงจันทน์
ครั้นเมื่อนำตัวไปถึง เจ้านนท์จึงสั่งให้ประหาร โดยนำตัวไปแทงด้วยหอก แต่ขณะที่เพชฌฆาตกำลังจะลงมือประหาร บังเอิญฟ้าได้ผ่าไปถูกด้ามหอกจนหักสะบั้นลง
เจ้านนท์ ซึ่งยืนดูการประหารอยู่ ก็เกิดอาการตกใจ และเห็นว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ จึงรับสั่งให้เจ้าชมภูกลับไปครองเมืองพวนตามเดิม จึงเป็นเหตุสันนิษฐานได้ทางหนึ่งว่า "ฟ้าย่อมปรานีผู้ประพฤติไม่ผิด และเป็นเหตุให้เจ้าชมภูได้กลับไปครองเมืองพวน" เป็นเหตุให้ชาวไทยพวนนับถือฟ้า และยึดถือประเพณี "กำฟ้า" มาจนถึงปัจจุบัน
"แม้ในปัจจุบันจะมีผู้เห็นว่าเรื่องของประเพณีไม่เห็นจะมีคุณค่าอะไร แต่ประเพณีที่ทางวัดยึดถือและปฏิบัติมา ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาติ เป็นสมบัติอันมีค่าควรแก่การรักษาไว้"
เรื่อง / ภาพ จีรแมน ขำฉา จ.สิงห์บุรี