
อั๊ง เมืองชล "มี"...เพราะบารมีพระหลวงพ่อแก้ว
กรรมการตัดสินพระทุกชุดที่ถือว่าสุดยอดที่สุดต้องยกให้กรรมการตัดสินพระชุดเบญจภาคี ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่ประมาณ ๒๐ คน ทั้งนี้หากงานประกวดพระงานใดมีกรรมการตัดสินชุดเบญจภาคีไปร่วมงานไม่ต่ำกว่า ๑๕ คน ถือว่า เป็นงานที่มีคุณภาพ แต่ถ้ามีอยู่เกิน ๑๐ คน ถือว่าพอใช้ได
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยไม่ได้กำหนดผู้ที่เป็นกรรมการชุดเบญจภาคีเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นที่รู้ๆ กันในวงการพระเครื่องว่า กรรมการชุดนี้มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ ๑.ต้องสร้างและสะสมบารมี เป็นที่เคารพนับถือศรัทธา ไม่มีชื่อเสียงด่างพร้อยในการเช่าซื้อพระชุดเบญจภาคี ๒.รู้จริง ซื้อจริง และขายจริงอยู่ในสนามพระเครื่องปัจจุบัน
๓.เป็นคนที่มีฐานะมีเงินพอสมควร กล่าวคือ มีเงินมากพอที่จะซื้อพระชุดเบญจภาคีได้ เมื่อใครมาขายถ้าเป็นของแท้ต้องกล้ารับซื้อไว้ การซื้อขายเป็นเครื่องยืนยันความสามารถอย่างหนึ่งของความเชี่ยวชาญในพระรุ่นนั้นๆ ถ้ามีมากไม่พอ ต้องเป็นคนมีเครดิตที่จะระดมเงินมาซื้อพระชุดเบญจภาคี และ ๔.ต้องมีเซียนพระเบญจภาคีรุ่นพี่รับรองในความสามารถ
นายสมภพ ไทยธีระเสถียร หรือ อั๊ง เมืองชล อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และประธานชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทย คนล่าสุด ก็เป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินพระชุดเบญจภาคี ที่คร่ำหวอดในวงการพระเครื่องมาเกือบ ๔ ทศวรรษ
ก่อนที่จะมาเป็นกรรมการตัดสินพระชุดเบญจภาคี "อั๊ง เมืองชล" ผ่านการฝึกฝน เรียนรู้ สังเกต และจดจำ ผ่านการดูพระมาจำนวนมากมาย พบทั้งของจริง และเลียนแบบ จำนวนนับไม่ถ้วน จนเชี่ยวชาญ โดยมีผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการพระเครื่องให้การชี้แนะ เช่น คุณพิศาล มูลศาสตรสาทร, คุณอุดม กวัสราภรณ์, คุณประจำ อู่อรุณ, คุณชลอ รับทอง และอีกหลายๆ ท่าน จากนักสะสมธรรมดา ศึกษาด้วยความสนใจใฝ่รู้ด้านพระเครื่องอย่างจริงจัง ปัจจุบันประสบความสำเร็จในเส้นทางเซียนพระ ติดอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
อั๊ง เมืองชล เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า เริ่มเช่าและเข้าวงการพระเครื่องตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ เช่าแบบรู้บ้างไม่รู้บ้าง เคยเช่าพระสมเด็จเก๊เป็นร้อยๆ องค์ และเคยเช่าพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ในราคาสูงถึง ๓๐ ล้านบาท เพราะสมัยก่อนครูบาอาจารย์ก็ไม่รู้จะสอนยังไง เพียงแต่ถ้าเรามีโอกาสก็ไปขอดูพระแท้เขา ถ้าเราเคยเห็นพระแท้ก็ใช้วิธีจำเอา
จากนั้นก็ขอคำชี้แนะจากผู้ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่ค่อยบอกเราหรอก เพราะเหตุผลว่า เราถามไม่เป็น เราก็ต้องค่อยๆ ศึกษา ดูว่าพระแท้เป็นยังไง พระเครื่องที่ถนัดมากที่สุด ก็ต้องเป็นพระปิดตาเมืองชลบุรี โดยเฉพาะพระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์
“ผมได้กำไร ได้ประโยชน์ เรียกว่าลืมตาอ้าปากได้ก็มาจากการเช่าซื้อพระเครื่องมากที่สุดก็จากพระหลวงปู่แก้วนี่แหละ ตอนที่ตกอับคราใดก็จะได้พระหลวงปู่แก้วเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจเสมอ เคยเช่าพระปิดตาหลวงปู่แก้วองค์ละ ๒๐-๓๐ ล้านมาแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังหาเช่าอยู่” อั๊ง เมืองชล กล่าว
พร้อมกันนี้ อั๊ง เมืองชล ยังบอกด้วยว่า ช่วงหนึ่งมีเงินไม่มากพอที่จะเช่าพระสมเด็จ จึงไปดาวน์รถเบนซ์เพื่อมาแลกกับพระสมเด็จ โดยได้แลกรถเบนซ์กับพระสมเด็จมานับสิบๆ องค์ ซึ่งทุกวันนี้พระสมเด็จแท้ๆ พระเครื่องชุดเบญจภาคี รวมทั้งพระเครื่องยอดนิยมชุดอื่นๆ ยังคงสามารถแลกกับรถเบนซ์ได้อยู่ แต่ต้องเป็นพระแท้เท่านั้น
เมื่อถามถึงพระที่แขวนติดตัวเป็นประจำ อั๊ง เมืองชล บอกว่า พระที่ชอบพระที่ใช้เป็นประจำต้องพกไว้ในกระเป๋า ส่วนพระที่ชอบน้อยหน่อยก็แขวนรวมกับองค์อื่นๆ ในคอ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะคนส่วนใหญ่มักจะขอเช่าพระที่แขวนอยู่ในคอ เพราะคิดว่าขนาดเซียนใหญ่ยังใช้ แสดงว่าต้องเป็นพระดีแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าครอบครัวของ อั๊ง เมืองชล จะเป็นคนจีน ชอบไหว้เจ้า แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมาตั้งแต่เด็ก คือ ต้องใส่บาตรทำบุญในวันสำคัญให้สมเด็จโตในวันสำคัญต่างๆ ของท่าน นั่นหมายถึงการบูชาครูบาอาจารย์ และชอบไหว้พระฟังธรรมะ
ทั้งนี้ อั๊ง เมืองชล พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า “คนที่รักษาศีล ๕ สังเกตดูได้ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ดำ ไม่ขาว ทุกอย่างพอเหมาะพอดี หน้าตาแจ่มใสจิตใจดี แต่คนที่เกิดมาจนข้นแค้นเพราะว่าอดีตชาตินั้นไม่เข้าวัดทำบุญ ไม่สร้างทาน คนที่ปัญญาไม่ดีความจำไม่ดี เพราะอดีตไม่ถือศีล ไม่สวดมนต์ ไม่นั่งสมาธิ คนที่ครอบครัวแตกร้าวลูกไม่เชื่อฟังเพราะบุคคลนั้นผิดศีลข้อ ๓ คือ กาเม คนทำธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จเพราะอดีตชาติไปขโมยและทำทรัพย์สินผู้อื่น คนที่เสียบุคลิกมัวเมาเพราะชอบดื่มสุรา เป็นที่ดูถูกของคนอื่นซึ่งมองเราไม่ดี พื้นฐานของมนุษย์นั้นต้องรักษาศีล ๕ ผิดบาปอยู่ที่เจตนา เจตนาคือตัวกรรม คนเราทำมาหากินอย่าทำอยู่ ๒ อย่างคือ ค้าสิ่งมีชีวิต และเล่นการพนัน”
ตำนานแห่งชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทย
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทย เป็นชมรมพระเครื่องที่เก่าแก่ที่สุดของคนวงการพระเครื่อง เริ่มก่อตั้งมาประมาณ พ.ศ.๒๕๒๕ ซึ่งตรงกับปีฉลองกรุงเทพฯ ครบ ๒๐๐ ปี โดยมีนายเติมศักดิ์ ปิยะมณีพร หรือ เปี๊ยก ปากน้ำ เป็นประธานชมรมคนแรก บทบาทหน้าที่หลักคือสนับสนุนการจัดงานประกวดพระเครื่อง ก่อนที่จะมีสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย
ในสมัยที่ นายมนัสชัย เจริญพลนภาชัย หรืออาจารย์ช่าง สะพานพุทธ เป็นประธานชมรม ถือว่าชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทยเป็นที่รู้จักของคนในวงการมากที่สุด ตลอดระยะเวลาที่เป็นประธานชมรมถือว่าเป็นต้นตำรับของการจัดทำหนังสือรางวัลชนะเลิศการประกวดพระ หนังสือหลายเล่มกลายเป็นหนังสือมีราคา และหายาก ในยุคนี้ หนังสือประเภทนี้ได้รับความนิยมมาก
อั๊ง เมืองชล บอกว่า สิ่งที่น่าภาคภูมิใจของสมาชิกชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทย คือ ในสมัยที่อาจารย์ช่าง สะพานพุทธ เป็นประธานชมรม ได้มีการจัดงานประกวดพระเครื่องเป็นการหาทุนจัดสร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ๒ แห่งคือ
๑.โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบำรุงที่ ๗๙ ต.สบป่อง กิ่ง อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ทั้งนี้เมื่อ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลปไทย ได้บริจาคเงินจากก่อสร้างอาคารเรียนขนาด ๔ ห้องเรียน จำนวน ๑ หลัง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อมาเป็น “โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทยอนุสรณ์”
๒.โรงเรียน ตชด.บ้านปุงยาม หมู่ ๕ บ้านปุงยาม ต.นาปู่ป้อม อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๓๕ ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทยกรุงเทพฯ ได้บริจาคเงินจำนวน ๓๓๕,๐๐๐ บาท เพื่อสร้างอาคารเรียนถาวร ๑ หลัง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อมาเป็น "โรงเรียน ตชด.ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทยอนุสรณ์ ๒"
“เงินที่ประธานชมรมรุ่นก่อนๆ หาไว้ผมจะไม่แตะต้อง แต่สิ่งที่ผมจะทำ คือ สานต่อเจตนารมณ์ของประธานชมรมรุ่นก่อนๆ” นี่คือความตั้งใจของ อั๊ง เมืองชล ในฐานะประธานชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทยคนล่าสุด
“ผมได้กำไร ได้ประโยชน์ เรียกว่าลืมตาอ้าปากได้ก็มาจากการเช่าซื้อพระเครื่องมากที่สุดก็จากพระหลวงปู่แก้วนี่แหละ เคยเช่าพระปิดตาองค์ละ ๒๐-๓๐ ล้านมาแล้ว”
เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู