สรุปมหากาพย์ ซื้อ 'เรือดำน้ำ' ราคา 36,000 ล้านบาท ราคาที่ยอมแลกเพราะอยากได้ความเกรงใจจากนานาประเทศ ไม่สนความฝืดเคืองแค่ไหนท้ายที่สุดถูกจมเตรียมเปลี่ยนเป็น เรือฟิเกต แทน
กลายเป็นเรื่องที่สังคมกลับมาให้ความสนใจอีกครั้งในการจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" ราคา 36,000 ล้านบาท จากประเทศจีนในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา เพราะหลังจากที่รัฐบาลในยุค คสช. พยายามที่จัดซื้อยุทโธปกรณ์ด้านการทหาร ในภาวะที่ประเทศกำลังฝืดเคืองกลายเป็นประเด็นที่ทำให้มีการตั้งคำถามมากมายมาย แม้ว่าในช่วงโควิด กองทัพเรือจะยอมคืนงบประมาณบางส่วนในการจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" แต่ก็เกิดการคัดค้านจากสังคมอย่างมาก
เวลาผ่านไปโครงการจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" ของกองทัพเรือซึ่งหลายคนมองว่าเป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้คนเกรงใจ ไม่ได้เลือนหายไปจากความทรงจำของคนไทย โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา "เรือดำน้ำ" กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังจากที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีแผนที่จะจม "เรือดำน้ำ" ที่เคยทำสัญญาไปแล้วเป็น เรือฟริเกต แทน
สำหรับมหากาพย์การจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" มีที่ไปที่มา ดังนี้
1. ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่ผ่านมาประมาณปี 2558 รัฐบาลยุค คสช. มีแนวคิดที่จะซื้อ "เรือดำน้ำ" จำนวน 3 ลำ ในราคาราวๆ 36,000 ล้านบาท หลังจากนั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงได้เห็นชอบในหลักการให้จัดหา เรือดำน้ำ โดยกองทัพเรือได้พยายามเสาะหาบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ และความสามารถในการผลิตจัดหา เรือดำน้ำ จนสุดท้ายก็ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดจากจีน
2.หลังจากนั้นจึงได้ทำสัญญาตกลงซื้อขาย "เรือดำน้ำ" จำนวน 3 ลำ ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) โดยมีระยะเวลา 11 ปี ในการส่งมอบ เรือดำน้ำ ให้แก่กองทัพไทย โดยกองทัพเรือได้มีการเซ็นสัญญาซื้อเรือดำน้ำลำแรก ด้วยงบประมาณ 13,500 ล้านบาท แบ่งชำระเงินเป็น 7 ปี รวม 17 งวด ประเดิมงวดแรกปี 2560 จำนวน 700 ล้านบาท ส่วนปี 2561-2566 จ่ายเงินเฉลี่ยปีละ 2,100 ล้านบาท
3. ท่ามกลางคำครหาถึงการใช้งบประมาณแผ่นดินในจำนวนมหาศาลแต่ ทางรัฐบาล และ กองทัพเรือก็ยังคงเดินหน้าซื้อ "เรือดำน้ำ" ไม่หยุดจนกะรทั้งในปี 2563 ไทยเผชิญกับวิกฤตโควิดอย่างหนัก รัฐบาลได้มีคำสั่งให้แต่ละหน่วยงานโอนงบประมาณกลับคืน ทร. จึงได้คืนงบประมาณในการจัดซื้อ เรือดำน้ำ แต่ในปี 2565 กองทัพเรือได้เดินหน้าจัดซื้อ เรือดำน้ำ ลำที่ 2 และ 3 อีกครั้ง ในงบประมาณ 22,000 ล้านบาท
4. ดูเหมือนว่าการจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" ในช่วงนั้นจะเริ่มมีปัญหา โดยกระทรวงกลาโหมได้แจ้งขอถอนวาระการเสนอจัดซื้อ เรือดำน้ำจำนวน 2 ลำ ออกจากการพิจารณางบประมาณปี 2565 หลังจากนั้นทางกองทัพเรือออกมายอมรับว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำแบบไม่มีเครื่องยนต์ที่ผลิตโดยประเทศเยอรมนี มีปัญหาเนื่องจากทางเยอรมนีไม่ยอมออกใบอนุญาตแก่จีนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่จีนจะต้องดำเนินการแก้ปัญหาต่อไป
5. ปัญหาการจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" คาราคาซังต่อเนื่องจนมาถึงยุครัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐฐมนตรี และแน่นอนว่าหลังจากที่มีการแต่งตั้ง ครม. และนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้กุมกองทัพได้มีการหยิบเอาการจัดซื้อ เรือดำน้ำ มูลค่ามหาศาลกลับมาพิจารณาเป็นเรื่องแรกๆ จนท้ายที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า มีความคิดที่จะเปลี่ยนการซื้อ เรือดำน้ำ และ เรือฟริเกต อย่างแน่นอน เพราะมีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยมากกว่า แต่การเปลี่ยนสัญญาระหว่างไทยกับจีน จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ เพราะมีการทำสัญญาซื้อขาย "เรือดำน้ำ" ไปแล้ว ต้องรอการสรุปอีกครั้ง
ด้านนายกฯ ก็ออกมายืนยันถึงการเปลี่ยน "เรือดำน้ำ" เป็น เรือฟริเกต ว่า ประเทศไทยไม่เสียเปรียบแน่นอน ส่วนความชัดเจนการเปลี่ยนเรือดำน้ำเป็น เรือฟริเกต ขอให้ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีข้อมูลครบก่อนแล้วค่อยดำเนินการเจรจา แต่เชื่อว่าจะมีข่าวดี และมีความคืบหน้าไปได้ด้วยดี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง