ข่าว

อดีตพนักงานเสียใจ-เสียดายบรรยากาศร่มรื่น

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

พนักงาน-แวดวงโรงแรมบ่นใจหาย "โรงแรมปาร์คนายเลิศ" ปิด

อดีตพนักงานเสียใจ-เสียดายบรรยากาศร่มรื่น

      จากกรณี ปิดตำนาน "ปาร์คนายเลิศ"เครือรพ.กรุงเทพฯทุ่มหมื่นล้านซื้อ (อ่านต่อ....) บรรยากาศที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ กรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายวันนี้ ผู้สื่อ นสพ.คมชัดลึก รายงานว่า มีสื่อมวลชนจากหลายสำนักเข้ามารอเกาะติดสถานการณ์ พร้อมถือโอกาสเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบโรงแรมไปด้วยเนื่องจากมีข่าวว่าอาจจะมีการแถลงข่าว แต่ ณ เวลานี้ (17.00 น.) ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ขณะที่พนักงานของโรงแรมฯ ยังทำงานเป็นปกติและลูกค้ายังเข้าออกปกติ โดยมีโอกาสสอบถามความรู้สึกพนักงานหญิงรายหนึ่งที่ทำงานที่นี่มา 3 ปีว่าทราบข่าวโรงแรมจะปิดตัวจากสื่อต่างๆ รู้สึกตกใจและใจหาย ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ โดยก่อนหน้าที่จะมีข่าว ผู้บริหารได้ประกาศให้พนักงานเข้าประชุมด่วน ส่วนตัวคิดว่าจะเป็นเรื่องตารางหยุดงานซึ่งมีการประชุมเป็นปกติอยู่แล้ว เมื่อกลายเป็นเรื่องแจ้งให้ทราบว่าจะมีการปิดกิจการทุกคนต่างใจหาย จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ซึ่งผู้บริหารยืนยันว่าทุกคนจะไม่ตกงาน ใครอยากทำงานต่อก็มีบริษัทในเครือพร้อมโยกย้ายทันทีหากมีตำแหน่งงานนั้นๆ ว่าง หรือหากไม่ประสงค์ทำงานต่อ ก็ยื่นข้อเสนอชดเชยรายได้ให้ตามกฎหมายพร้อมเงินพิเศษอีก 1 เดือน

อดีตพนักงานเสียใจ-เสียดายบรรยากาศร่มรื่น

            ด้าน นางสาววกรองทอง เกิดนาค อดีตลูกหม้อโรงแรมปาร์คนายเลิศ ที่เคยทำงานเมื่อช่วงปลายปี พ.ศ.2556-2558 เผยว่า แม้ตอนนี้จะไม่ได้เป็นพนักงานที่โรงแรมแล้ว แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าโรงแรมจะปิดกิจการก็รู้สึกเสียใจ เพราะเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่อยู่คู่คนไทยมานาน และเป็นโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยสูงมาก หากพูดถึงปาร์คนายเลิศทุกคนจะนึกถึงความเรียบหรู ซึ่งไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัยสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ สิ่งที่ประทับใจที่สุดที่ทำงานที่นี่คือ ในทุกวันประสูติของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ปาร์คนายเลิศเป็นโรงแรมเดียวที่จะส่งดอกไม้และขนมหวานซึ่งเป็น 2 ส่วนที่ขึ้นชื่อของโรงแรมเข้าไปถวาย โดยจะจัดดอกไม้ตามคาร์แรกเตอร์ของแต่ละพระองค์ ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษที่ทำงานมีโอกาสได้เป็นตัวแทนของโรงแรมนำเข้าไปถวายทุกพระองค์

          "ตอนที่ตัวเองยังทำงานอยู่ที่ปาร์คนายเลิศก็ได้ยินข่าวบ้างเหมือนกันว่าทางโรงแรมจะขายกิจการ แต่ตอนนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีนายทุนคนไหนเข้ามาซื้อกิจการ แต่พอทราบเมื่อคืนที่ผ่านมาว่าโรงแรมจะปิดกิจการสิ้นปีนี้รู้สึกเสียใจเหมือนกัน เพราะที่นั่นเป็นโรงแรมที่ร่วมรื่นมากอากาศบริสุทธิ์ เหมือนเป็นป่าท่ามกลางตึกสูงทำงานแล้วมีความสุข ถ้าเดินจากถนนด้านนอกเข้าไปจะรู้สึกถึงความแตกต่างทันที ทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่อายุ 20-30 ปีอีกหลายต้นด้วย ถ้าคนที่ซื้อที่ดินไปปรับทำอย่างอื่นแล้วตัดต้นไม้พวกนี้ทิ้งคงจะน่าเสียดายมาก แต่ไม่ใช่เฉพาะภายนอกห้องพักเท่านั้น เพราะภายในห้องพักก็ร่มรื่นไม่ต่างกัน แขกที่เข้าพักจะชอบมากโดยเฉพาะฝรั่งและญี่ปุ่นเพราะบรรยากาศจะสบายๆ เหมือนอยู่ในสวน" อดีตพนักงานสาวเผย

          ย้อนวันวาน อดีตพีอาร์รุ่นใหญ่ เล่าว่า เมื่อ 36 ปีที่แล้ว ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ก่อตั้งโรงแรมปาร์คนายเลิศขึ้นด้วยความรัก และทำหน้าที่บริหารงานเองโดยใช้หลักการดูแลลูกค้าอย่างทั่วถึง ขณะเดียวกันในส่วนของพนักงานเองก็ได้รับความเมตตาเป็นอย่างดี เชื่อว่าถ้าท่านผู้หญิงยังอยู่ คงไม่ปล่อยเด็ดขาด เพราะท่านรักมาก กระทั่งมาถึงทายาทเข้ามารับช่วงบริหารต่อ อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันนี้การให้บริการโรงแรมมีความแข่งขันค่อนข้างสูง คุณค่าของโรงแรมไม่ได้วัดที่จำนวนห้อง แต่วัดที่ความทันสมัย ความสะดวกสบาย บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์

          “จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มีโรงแรมเปิดใหม่ที่เป็นลักษณะบูทีคโฮเทลมากขึ้น และถึงจะมีจำนวนห้องพักแค่ 100 กว่าห้อง แต่ก็จัดว่าอยู่ในระดับ 5 ดาว เหมือนโรงแรมใหญ่ๆ เน้นความโมเดิร์น อยู่ในทำเลสะดวกสบาย ในแหล่งช็อปปิ้ง ทำให้เป็นอะไรที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากกว่า ส่งผลให้โรงแรมขนาดใหญ่ที่มีห้องพักตั้งแต่ 300-400 ห้องขึ้นไปอยู่ยาก หากไม่มีการปรับตัวให้ทันต่อโลก เพราะไหนจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายนานาประการ อาทิ การจ้างพนักงานจำนวนมาก เพราะตามมาตรฐานของการเปิดให้บริการโรงแรมทั่วไปนั้น อัตราพนักงานต้อง 1 คนต่อ 1 ห้อง ตรงนี้จึงเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ยังไม่รวมค่าบำรุงรักษา การพัฒนาปรับปรุง อย่างที่รู้ๆ กันว่าโรงแรมนั้นค่อนข้างทรุดโทรมรวดเร็ว ดังนั้นในระยะเวลาทุกๆ 3 ปี จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงอย่างน้อย 1 ครั้ง” อดีตพีอาร์รุ่นเดอะให้มุมมอง

อดีตพนักงานเสียใจ-เสียดายบรรยากาศร่มรื่น

          นอกจากนี้ อดีตคนทำงานด้านโรงแรมยังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า การบริหารโรงแรมขนาดใหญ่ต้องใช้มืออาชีพจริงๆ การตลาดต้องแข็งแรง ทั้งในเรื่องออนไลน์ เน็ตเวิร์ค นับเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยว สำหรับโรงแรมใหญ่ๆ ลูกค้ายังคงยึดติดกับค่านิยมของเชนการบริหาร ทั้งที่คนไทยก็บริหารได้แต่ต้องเข้มแข็ง ในกรณีของโรงแรมปาร์คนายเลิศ ตนเองมองว่า น่าเสียดายทั้งที่โรงแรมดังกล่าวปลูกสร้างในที่ดินของตัวเองไม่ต้องเสียค่าเช่าเหมือนโรงแรมอื่นๆ ส่วนหนึ่งที่มาถึงจุดนี้ น่าจะเกิดจากผู้บริหารปล่อยให้นิ่งนานเกินไป ในที่นี้หมายถึงการไม่มีโปรโมชั่น ไม่มีการสร้างแบรนด์อะแวร์เนส ชื่อหายไปสักพัก โรงแรมปล่อยให้นิ่งนานไม่ได้ ต้องให้คนติดหูติดตาตลอดเวลา ถามว่าโรงแรมเก่าๆ ที่เป็นโลโคลเชน บริหารโดยคนไทย แต่จ้างจีเอ็มโดยต่างประเทศแต่ทำไมยังอยู่ได้ นั่นเพียงแต่เปลี่ยนแนวการบริหารใหม่

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ