ญี่ปุ่นตื่นตัวรับกระแสไทยจัดโมโตจีพี

การแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก “โมโตจีพี” สนามที่ 15 รายการ “พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2018” ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม 2561 เป็นอีเวนท์ใหญ่ยักษ์ที่ประเทศไทยไม่เคยจัดการแข่งขันมาก่อน ซึ่งในขณะนี้ การเตรียมการทุกด้านเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว 

ทีมจัดการแข่งขัน “โมโตจีพี” ครั้งแรกในประเทศไทย บุกไปที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่คลั่งไคล้กีฬามอเตอร์สปอร์ตชิงเจ้าความเร็วมากที่สุดในทวีปเอเชีย เพื่อโปรโมทการแข่งขันนำโดย นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คณะผู้บริหารจากการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) นำโดย นายสังเวียน บุญโต รองผู้ว่าการ กกท. รักษาการผู้ว่าการ กกท.  “บิ๊กเน” นายเนวิน ชิดชอบ ประธานที่ปรึกษาสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ และ นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ จิราพร ขาวสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เปิดแถลงข่าวยืนยันความพร้อมการจัดการแข่งขัน “พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2018” ที่โรงแรมปริ๊นซ์ ปาร์ค ทาวเวอร์ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม

 “รัฐบาลไทยมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความเชื่อมั่น จาก ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์โมโตจีพีให้เป็นเจ้าภาพ ต่อเนื่องถึง 3 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561-2563 การเป็นเจ้าภาพของไทยเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างหน่วยงานหลักภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้แก่ กกท., การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และจังหวัดเจ้าภาพ โดยรัฐบาลไทยมุ่งมั่นกับการผลักดันเรื่องของกีฬาอย่างจริงจัง มีการประเมินแล้วว่าอุตสาหกรรมกีฬาช่วยกระตุ้นให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยโตขึ้น 6.37 เปอร์เซนต์” 

“ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมายาวนานกว่า 140 ปี เราเลือกมาประเทศญี่ปุ่นเพราะว่า ญี่ปุ่นมีความตื่นตัวเรื่องของกีฬาความเร็วค่อนข้างมาก กีฬาซุปเปอร์จีทีจัดขึ้นทุกปีที่ญี่ปุ่น นอกจากนั้นแล้ว ค่ายรถจักรยานยนต์ดังๆ ในญี่ปุ่นก็จะส่งทีมนักแข่งชื่อดังเข้าร่วมแข่งขันด้วยไม่ว่าจะเป็นยามาฮ่า, ฮอนด้า ทำให้ โมโตจีพี เป็นการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยจัดมา มีผู้ชมผ่านการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ กว่า 200 ช่อง ไม่ต่ำกว่า 600 ล้านคนใน 207 ประเทศทั่วโลก เราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราลงทุนไปจะก่อให้เกิดผลในทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยอย่างคุ้มค่า เรามองว่าการท่องเที่ยวเชิงกีฬา หรือ สปอร์ตทัวริซึมจะสามารถเกิดขึ้นจริงในประเทศไทยหลังการแข่งขันโมโตจีพีครั้งนี้”

“ปลัดกีฬา” กล่าวอีกว่า  เราไม่ได้มองประโยชน์ที่ จ.บุรีรัมย์จังหวัดเดียว เพราะนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป โดยนักท่องเที่ยวทั่วไปจะมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย รายละ 50,000 บาท ต่อคน ต่อทริป แต่นักท่องเที่ยเชิงกีฬาจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 70,000-100,000 บาท เรามั่นใจว่า เงินจะสะพัดถึง 1 พันล้านบาท และรายได้ทางอ้อมจะสูงถึง 2 พันล้านบาท ในขณะที่ ไพรส์วอเตอร์เฮ้าส์ เก็บสถิติสนามแข่งขันที่เซปัง ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พบว่า โมโตจีพี จะมีรายได้ 2 พันล้านบาท ซึ่งเราก็มั่นใจว่าไทยก็น่าจะมีรายได้ใกล้เคียงกับมาเลเซีย

“นอกจากโมโตจีพีแล้วไทยเรายังมีแผนที่จะจัดกีฬาระดับโลกอีกหลายรายการด้วย” ปลัดกีฬา กล่าว

ในงาน “บุรีรัมย์ ไนท์” เพื่อประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพของไทย “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ ได้ขึ้นเวที เชิญชวนให้ผู้ที่มีใจรักกีฬามอเตอร์สปอร์ต เดินทางไปชมการแข่งขัน “โมโตจีพี” ที่ จ.บุรีรัมย์ จังหวัดที่เคยเป็นเมืองผ่าน และประชากรยากจนมากที่สุดติดอันดับ 1-10 ของประเทศไทย แต่เมื่อ 9 ปีก่อน ได้มีการก่อกำเนิดของทีมฟุตบอล “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตามมาด้วย สนามแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต "ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต" ทำให้ กีฬากลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้าง จ.บุรีรัมย์ ให้กลายเป็นเมืองที่มีคนเดินทางไปเที่ยวถึง 3 ล้านคนต่อปี ประชาชนชาวบุรีรัมย์มีรายได้เป็นหมื่นล้านบาท 

“ความพร้อมทุกด้านประมาณ 90 เปอร์เซนต์แล้ว เหลือเพียงการสร้างอัฒจันทร์ชั่วคราว เพื่อรองรับผู้ชมอีก 2.5 หมื่นคนเพื่อรองรับให้ได้ทั้งหมด 5 หมื่นคน ทั้ง แกรนด์สแตน ไซด์สแตน และวีไอพี ภายในวันที่ 20 กันยายนนี้ ทุกอย่างจะเสร็จสมบูรณ์”

“การจัดการแข่งขันกีฬาที่ผ่านมา เราไม่ได้ทำในหลายมิติ แต่สำหรับโมโตจีพีครั้งนี้ จะเป็นเรื่องของกีฬา และท่องเที่ยว ผนวกกัน รายได้มีทั้งทางตรงจากสปอนเซอร์ การขายบัตรเข้าชม แต่รายได้ทางอ้อมที่มหาศาลมากเพราะเราขายประเทศไทย ทั้งประเทศ ด้วยการประกาศศักยภาพของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก”