วันนี้ในอดีต...เมื่อเกมฟุตบอลกลายเป็นชนวนสงคราม

       ช่วงทศวรรษที่ 1950-60 ชาวฮอนดูรัสกับชาว เอล ซัลวาดอร์ มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเรื่องเศรษฐกิจและสังคม อันเนื่องมาจากมีชาว เอล ซัลวาดอร์ หลายแสนคนหลั่งไหลเข้าไปอยู่ในฮอนดูรัสที่มีความเจริญมากกว่า จนเกิดปัญหาสิทธิที่ทำกิน จนกระทั่งปี 1962 รัฐบาลฮอนดูรัสตรากฎหมายปฏิรูปที่ดิน ที่ให้อำนาจรัฐในการยึดที่ดินของชาว เอล ซัลวาดอร์ มาแจกจ่ายให้คนยากจนชาวฮอนดูรัส ก่อให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันระหว่างประชาชนทั้งสองชาติหลายครั้ง

       เดือน มิ.ย. 1969 ปัญหาดังกล่าวก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อ เอล ซัลวาดอร์ กับ ฮอนดูรัส โคจรมาพบกันในรอบเพลย์ออฟเพื่อแย่งสิทธิเข้าแข่งขันในศึกฟุตบอลโลก 1970 ทำให้เกมฟุตบอลในครั้งนี้กลายเป็นเหมือน "สงครามตัวแทน" ของประชาชนทั้งสองประเทศ 

       โดยนัดแรก ฮอนดูรัสชนะได้ก่อน 1-0 แต่ เอล ซัลวาดอร์ ก็เอาคืนด้วยการชนะไป 3-0 ในบ้านตัวเอง ทำให้ต้องมีการเตะเพลย์ออฟนัดที่ 3 ที่สนามกลางในเม็กซิโก (เพราะกฎในเวลานั้นใช้วิธีนับแต้มอย่างเดียวโดยไม่มีการนับลูกได้เสีย ไม่มีกฎประตูทีมเยือน) ปรากฏว่า เอล ซัลวาดอร์ ชนะไป 3-2 คว้าโควต้าไปแข่ง เวิลด์ คัพ 1970 ที่เม็กซิโกได้สำเร็จ แต่ระหว่างการแข่งขันรอบเพลย์ออฟทั้ง 3 นัดนี้ก็เต็มไปด้วยความรุนแรง บรรดาแฟนบอลทั้งสองชาติก่อเหตุจลาจลขึ้นมาหลายครั้งทั้งก่อนและหลังการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ความรุนแรงในฮอนดูรัสก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ชาวฮอนดูรัสรวมตัวกันขับไล่ บุกทำร้าย และทำลายทรัพย์สินของชาว เอล ซัลวาดอร์ ที่อาศัยอยู่ในฮอนดูรัสอย่างบ้าคลั่ง ผู้นำของ เอล ซัลวาดอร์ เรียกร้องให้รัฐบาล ฮอนดูรัส เข้ายุติความรุนแรง แต่เหมือนจะไม่ได้รับการตอบสนอง แม้ เอล ซัลวาดอร์ จะประกาศยุติความสัมพันธ์ทางการฑูตกับฮอนดูรัสในปลายเดือน มิ.ย. 1969 (ก่อนเกมเพลย์ออฟนัดที่ 3) เพื่อบีบให้ฮอนดูรัสจัดการปัญหาความรุนแรงนี้ แต่สถานการณ์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลาย

       จนกระทั่งวันที่ 14 ก.ค. 1969 กองทัพเอล ซัลวาดอร์ ก็เปิดฉากโจมตีสนามบินทหารในฮอนดูรัส ก่อนจะส่งกำลังพลหลายหมื่นนายเข้าทำสงครามในวันถัดมา ขณะที่ฮอนดูรัสก็เอาคืนด้วยการทิ้งระเบิดใส่คลังน้ำมันของ เอล ซัลวาดอร์ การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือดจนเพื่อนบ้านอย่างสหรัฐต้องยื่นมือมาจัดการ โดยอีก 4 วันถัดมา คือวันที่ 18 ก.ค. 1969  "องค์การนานารัฐอเมริกัน" (Organization of American States-OAS) สั่งให้ เอล ซัลวาดอร์ ถอนกำลังออกจากฮอนดูรัสทันที มิเช่นนั้นจะเข้าแทรกแซง ทำให้สงครามยุติลงในที่สุด แต่ก็ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้กว่า 3,000 คน (บางกระแสคาดว่าอาจพุ่งสูงถึง 6,000 คน) 

       และจากสงครามที่มีชนวนมาจากเกมฟุตบอลนี้เอง ทำให้เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า "สงครามฟุตบอล (Football War)" แม้กีฬาฟุตบอลจะเป็นเพียงแค่ปลายเหตุก็ตาม

       (คลิป Youtube // user: Douglas Ventura)