ส่งท้ายศึกลูกหนังยูโรป 2016 ด้วยเรื่องราวของ “ฝอยทอง” โปรตุเกส ในทัวร์นาเมนท์นี้, เส้นทางสู่แชมป์ยูโร 2016 และ 8 เรื่องเล่าน่ารู้จากนัดชิงชนะเลิศ
ศึกลูกหนังยูโรป 2016 จบสิ้นลงไปแล้ว ด้วยชนะชัยของ “ฝอยทอง” โปรตุเกส ที่ได้ประตูชัยในนาที 109 จากฝีเท้าของกองหน้าตัวสำรอง เอแดร์ พลิกโค่น “ตราไก่” ฝรั่งเศส เจ้าภาพ 1-0 คว้าถ้วยเงินใบโต “อองรี เดอโลเนย์” อดีตเลขาธิการยูฟ่าคนแรก ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการกำเนิดการแข่งขันรายการนี้ ไปครองได้สำเร็จ
พร้อมกับเทพนิยายฉบับใหม่ของตำนานอันยาวนานในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ที่เกิดการพลิกล็อกอีกครั้งสำหรับทีมได้แชมป์ ที่ไม่ได้เป็นพวกประเภทเต็งจ๋าแต่อย่างไร
แม้อาจไม่เทียบเท่าอภิมหาสุดยอดตำนานอย่าง “โคนม” เดนมาร์ก ในปี 1992 ที่มาในฐานะ “มวยแทน” ของยูโกสลาเวีย ที่ถูกแบนด้วยเหตุผลทางการเมือง มีเวลารวมตัวฝึกซ้อมเพียง 7 วัน แต่ทะลุคว้าแชมป์หน้าตาเฉย หรืออย่างที่ กรีซ ที่ทำได้ในปี 2004 ที่มาร่วมเล่นรายการนี้ในฐานะม้านอกสายตา ทว่าสุดท้ายก็ได้ชัยชนะกลับไปอย่างเหลือเชื่อ แต่ในรายของโปรตุเกส เรื่องราวที่พวกเขาได้สร้างขึ้นในรอบ 1 เดือนของการแข่งขัน ก็น่าจะกลายเป็นที่กล่าวขานกันอีกนาน
โปรตุเกส ภายใต้การคุมทีมของ เฟอร์นานโด ซานโต๊ส ไม่ได้เดินทางมาร่วมศึกครั้งนี้ในฐานะตัวเต็งลำดับต้นๆ แม้พวกเขาจะมีนักเตะชื่อก้องอย่าง “จอมสับ” คริสเตียโน โรนัลโด้, เปเป้, นานี ฯลฯ อยู่ในทีม แต่ด้วยอายุเฉลี่ยที่ค่อนข้างมาก ทำให้ถูกผู้สันทัดกรณีมองว่า ไม่น่าจะไปได้ไกลเท่าไหร่ในรายการนี้
การเล่นในรอบแรก นักเตะฝอยทอง โชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเท่าไหร่ เสมอรวด 3 นัด ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ ในฐานะทีมอันดับ 3 ของกลุ่ม เอฟ พร้อมกับ “โชคก้อนใหญ่” คือ การถูกจัดให้ไปอยู่ในสาย บน ไม่ต้องเจอกับพวกเต็งจ๋า อย่าง ฝรั่งเศส, สเปน, อิตาลี, เยอรมนี, อังกฤษ ที่ต้องมาฟาดฟันกันเองในสายล่าง
อย่างไรก็ตาม การเล่นในรอบแพ้คัดออก 2 นัดแรก โปรตุเกสก็ยังไม่ได้ฉายแววทีมที่จะเป็นแชมป์ออกมา ต่อเวลาชนะโครเอเชีย 1-0 ก่อนดวลจุดโทษชนะโปแลนด์ 5-3 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1
เท่ากับว่าการเล่น 5 นัดแรก พวกเขายังไม่ชนะใครในเวลา 90 นาที แม้แต่นัดเดียว!!!!
เกมรอบตัดเชือก ขุนพลโปรตุเกสลบคำวิจารณ์นี้ ด้วยการเอาชนะเวลส์ 2-0 แต่นั่นมาจากส่วนหนึ่งที่ฝ่ายตรงข้ามต้องขาดตัวหลักอย่าง อารอน แรมซีย์ ที่ติดโทษแบน ซึ่งเมื่อเทียบกับฝั่งเจ้าบ้านที่เป็นเต็วง 1 มาตั้งแต่ต้น แถมมาด้วยฟอร์มสุดหรู โดยเฉพาะเกมที่หักปีก “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ในรอบตัดเชือก 2-0 ด้วยแล้ว ทำให้มีไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดว่า ขุนพลฝอยทองก็สร้างปาฏิหาริย์พลิกโค่นเจ้าภาพในเกมนัดชิงได้
ยิ่งในเกมรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาต้องเสีย คริสเตียโน โรนัลโด้ นักเตะที่เก่งที่สุดในทีมออกไป โอกาสคว้าชัยของพวกเขายิ่งเหลือน้อยลง
ทว่า...สิ่งที่ไม่มีใครคิดที่สุดก็เกิดขึ้น ซึ่งก็คงไม่มีคำอธิบายใดๆ ได้ดีกว่าคำพูดของ ชูเซ ฟองเต ปราการหลังวัย 32 ปี ที่กล่าวสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า
“บางครั้ง เรื่องแบบนี้ก็เหมือนถูกเขียนบทไว้แล้ว.....”
ใช่แล้ว นั่นถือเทพนิยายฉบับใหม่....
เทพนิยายฉบับฝอยทอง ของโรนัลโด้ แอนด์ โก!!!
เส้นทางสู่แชมป์ยูโร 2016
รอบแรก
14 มิ.ย. เสมอ ไอซ์แลนด์ 1-1
18 มิ.ย. เสมอ ออสเตรีย 0-0
22 มิ.ย. เสมอ ฮังการี 3-3
รอบสอง
25 มิ.ย. ชนะ โครเอเชีย 1-0 (เวลาปกติเสมอ 0-0)
รอบก่อนรองชนะเลิศ
30 มิ.ย. เสมอ โปแลนด์ 1-1 (ชนะจุดโทษ 5-3)
รอบรองชนะเลิศ
6 ก.ค. ชนะ เวลส์ 2-0
รอบชิงชนะเลิศ
10 ก.ค. ชนะ ฝรั่งเศส 1-0 (เวลาปกติเสมอ 0-0)
เรื่องเล่าจากนัดชิง
- ชัยชนะ 1-0 เหนือฝรั่งเศส ทำให้โปรตุเกสเป็นชาติที่ 10 ที่คว้าแชมป์ศึกยูโร จากการแข่งขันทั้งสิ้น 15 ครั้ง
- ประตูชัยของเอแดร์ ในนาที 109 เป็นประตูที่ใช้เวลานานที่สุดเป็นอันดับ 2 ของรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูโร ต่อจาก วิคเตอร์ โปเนเดลนิค ของโซเวียต ที่ยิงได้ในนาที 113 เมื่อปี 1960
- ประตูที่เอแดร์ทำได้ ถือเป็นประตูที่ 14 ในศึกยูโรรอบสุดท้ายของโปรตุเกส ที่มาจากผู้เล่นสำรอง มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ที่อันดับ 2 คือ สเปน ถึง 3 ลูก
- โปรตุเกส กลายเป็นชาติแรกที่ชนะในช่วงต่อเวลาพิเศษ ในศึกยูโรรอบสุดท้ายรายการเดียวกันถึง 2 นัด และเป็นทีมแรกที่ต้องเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษถึง 3 เกม
- โปรตุเกส ยุติสถิติแพ้ 10 นัดรวด ต่อฝรั่งเศส หลังชัยชนะครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี 1975 ซึ่งถือเป็นการพ่ายแพ้ติดต่อกันต่อคู่แข่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมฝอยทอง
- การถูกเปลี่ยนตัวออกของ คริสเตียโน โรนัลโด้ ในนาที 25 ถือเป็นการโดนเปลี่ยนตัวครั้งแรกในการเล่นทีมชาติรอบ 10 ปี ของกัปตันทีมชาติผู้นี้ โดยการถูกเปลี่ยนตัวครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 2006 กับฮอลแลนด์ ในนาที 33 เนื่องจากอาการบาดเจ็บเช่นเดียวกัน
- คริสเตียโน โรนัลโด้ และเปเป้ ถือเป็นนักเตะคนที่ 11 และ 12 ที่ได้แชมป์ยูโร และยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ในปีเดียวกัน และเป็นนักเตะคนที่ 8 กับ 9 ที่ได้เล่นรอบชิงทั้ง 2 รายการในปีเดียวกัน
- อองตวน กรีซแมนน์ กลายเป็นนักเตะคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ต่อจาก มิชาเอล บัลลัค ที่แพ้ในรอบชิงชนะเลิศทั้งศึกยูโร และยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ในปีเดียวกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง