คอลัมนิสต์

เบื้องหลัง “ทรัมป์” โทรหา “ลุงตู่”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เบื้องลึกเบื้องหลัง "ทรัมป์" โทรหา "ลุงตู่" ใช้เบอร์อะไร โทรที่ไหน พูดภาษาอะไร มีล่ามหรือไม่ และคุยอะไรกัน

จากการเปิดเผยของสื่อต่างชาติ ถึงกรณีที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ได้ต่อโทรศัพท์สายตรงคุยกับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. ผู้กุมอำนาจสูงสุดของประเทศไทยในขณะนี้

 

แน่นอนว่า เมื่อ “มหาอำนาจเบอร์หนึ่ง” ติดต่อมา หลายคนจึงอยากรู้ว่า พวกเขาติดต่อกันอย่างไร วางแผนมานานหรือไม่ ใช้วิธีไหน นายกคุยเองหรือไม่ “ทีมข่าวคมชัดลึกออนไลน์” จึงไปหาคำตอบมาให้

 

จากการเปิดเผยของ “พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค” รองโฆษกรัฐบาล  ชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปุบปับ หากแต่มีการประสานมาเป็นสัปดาห์ จากทางทูตไทย และทูตสหรัฐฯ

 

ซึ่งหากเราย้อนกลับไปดูจะเห็นความเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งว่าเมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา “กลิน ที เดวีส์” เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ก็ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งขณะนั้นก็มีการตีความไปต่างๆนานา ว่าเข้าพบว่าอะไร เพื่อล็อบบี้เรื่องสถานการณ์เกาหลีเหนือที่กำลังร้อนแรงหรือไม่ ซึ่งที่สุดก็น่าจะเป็นการเข้าไปประสานเพื่อการ “ต่อสายตรงนี่เอง”

 

พล.ท.วีรชนเล่าต่อว่า จากนั้นก็เป็นเรื่องทางเทคนิคและการซักซ้อม ว่าจะโทรเข้ามาที่เบอร์ไหนและเวลาไหน

 

“ตกลงกันว่า โดนัลด์ ทรัมป์จะโทรเข้ามาตอน 21.30 น. ของวันที่ 30 เม.ย.”

 

จากนั้นเวลา ประมาณ 20.30 น. เจ้าหน้าที่ของไทยและสหรัฐก็ซักซ้อมกันอีกครั้ง โดยเช็คเพื่อให้ถูกต้องว่าหมายเลขโทรศัพท์ของทั้งสองคนถูกต้อง

 

หลายคนอาจจะคุ้นชินกับหนังฮอลลีวู้ด ว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีเบอร์โทรศัพท์ลับจากทำเนียบขาว ที่ไม่สามารถดักฟังได้ ในการต่อสายตรงไปหาผู้นำประเทศต่างๆทั่วโลก

 

แต่กับสิ่งทีเกิดขึ้น พล.ท.วีรชนเล่าว่า  “โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัว โทรเข้าหาโทรศัพท์ส่วนตัวของนายกฯประยุทธ์”

 

โดยการสนทนาผ่านโทรศัพท์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ บ้านพักของนายกรัฐมนตรี ในค่ายทหาร ร.1 รอ.

 

ทั้งนี้ก่อนการสนทนาเจ้าหน้าที่ได้เตรียมอุปกรณ์ลำโพงบลูทูธ เพื่อใช้เป็นลำโพงให้คนที่อยู่ในห้องนั้นได้ยินทั่วกัน   แต่จะมีใครอยู่ในห้องนั้นบ้าง พล.ท.วีรชนไม่ได้ระบุชื่อ แต่ยอมรับว่าเขาเป็นหนึ่งในนั้น   

ส่วนการสนทนาที่หลายคนสงสัยว่าผ่านล่ามหรือไม่   พล.ท.วีรชน ยืนยันว่า นายกฯ พูดภาษอังกฤษด้วยตัวเอง  “ท่านฟังได้ดี พูดก็ค่อนข้างดี แต่อยู่ในเกณฑ์ที่คิดต่อสื่อสารได้ไม่มีปัญหา เราก็อยู่คอยซัพพอร์ท”

 

สำหรับระยะเวลาในการสนทนา ใช้ประมาณ 15 นาที   ซึ่งระหว่างพูดก็ยอมรับว่ามีการชะงักบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องการเลือกใช้คำ  

 

อย่างไรก็ตามมีการวิเคราะห์โดย “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ตามปกติแล้วการหารือของผู้นำจะใช้วิธีคุยกันเมื่อพบหน้า แต่ อาจเพราะ "ทรัมป์" เป็นนักธุรกิจ เวลาจะคุยก็จะคุยกันทางโทรศัพท์"

 

สำหรับการเตรียมตัวเรื่องประเด็นนั้น  พล.ท.วีรชนระบุว่า สหรัฐก็ไม่ได้แจ้งประเด็นอะไรมาก แต่บอกว่าเป็นการพูดคุยเพื่อแนะนำตัวเอง   เราเองก็ต้องเดาว่าว่าจะเตรียมอะไรไว้กล่าวกับเขาด้วย ทั้งประเด็นที่จะพูดทั้งคาแรกเตอร์ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นไกด์ไลน์  และกระทรวงการต่างประเทศก็ให้ความเห็นเพิ่มเติม 

 

โดยเราเห็นว่าต้องแสดงความจริงใจ และมีจุดยืนในบางเรื่อง เช่นเกาหลีเหนือที่เราต้องคำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศและมติยูเอ็น และเพื่อสันติภาพและสันติสุขไม่ให้เกิดความเสียหายตามมาในภูมิภาค และผลประโยชน์ต้องเท่าเทียมกัน เคารพกันและกัน ไม่หวาดระแวงกัน

 

ทีมงานวิเคราะห์ว่าเรามีข้อได้เปรียบคือการเป็นพันธมิตรเก่าแก่ 

“โดนัลด์ ทรัมป์ เขาพูดตรงไปตรงมา เพราะไม่อยู่การเมืองมาก่อน คงไม่ต้องอ้อมค้อมมาก” พล.ท.วีรชนกล่าว

 

เราคาดว่าประเด็นที่จะหารือจะเป็นเรื่องเกาหลีเหนือและทะเลจีนใต้ แต่ถึงเวลาคุยเขาไม่ได้ยกมาก่อน เขาคุยเรื่องความสัมพันธ์  พร้อมทั้งยืนยันว่าจะทำให้ความสัมพันธ์กลับมาแข็งแรงและร่วมมือกันมากขึ้นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

แต่พูดไปก็ยังไม่พูดเรื่องเกาหลีเหนือและสถานการณ์ทะเลจีนใต้ “นายกฯก็เลยถามตรงๆว่ามีความกังวลอะไรในประเทศไทยไหม ก็ยอมรับว่ามีเรื่องเกาหลีเหนือ และทะเลจีนใต้ได้ แต่ก็ไม่ลงรายละเอียด”

ขณะที่ไทยก็ยืนยันจะเดินหน้าตามโรดแม็พ 

“และสุดท้ายเขาก็เชิญไปเยือนสหรัฐ โดยบอกว่าจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ และบอกว่าหากมีอะไรทีทรัมป์จะดูแลได้ ก็ขอให้โทรศัพท์พูดคุยได้ตลอดเวลา”

  

นี่คือเบื้องลึก เบื้องหลัง การต่อสายตรงคุยกันของ “โดนัลด์ ทรัมป์” และ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งหมายถึงการแสดงท่าทีต่อประเทศไทยที่เปลี่ยนไปของสหรัฐอเมริกา และแน่นอนย่อมมีนัยยะทางการเมือง ทั้งระดับประเทศ และระดับโลก

-----------

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ