คอลัมนิสต์

พระเอกโซเชียล!! ‘ศรราม น้ำเพชร’ ลิเกไม่มีวันตาย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ครบเครื่องทั้งเรื่องของ ‘พรสวรรค์’ และ ‘พรแสวง’ โด่งดังจนเป็น ‘ลิเกเงินล้าน’ ใน พ.ศ.นี้ ต้องยกให้กับ ‘ศรราม น้ำเพชร’


               สายเลือดครอบครัวลิเกที่สืบรุ่นมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย จนขึ้นมาเป็นพระเอกลิเกในวงการมีหลายคน แต่รายที่เติบใหญ่ได้ดี มีแม่ยก ครบเครื่องทั้งเรื่องของ ‘พรสวรรค์’ และ ‘พรแสวง’ โด่งดังจนเป็น ‘ลิเกเงินล้าน’ ใน พ.ศ.นี้ ต้องยกให้กับ ‘ศรราม น้ำเพชร’

               และมากกว่านั้นคือ เป็นพระเอกลิเกยุคโซเชียล ที่ใช้ชีวิตสมวัย ทั้งในบทบาท ‘แบงค์’ เด็กหนุ่มวัย 20 และ ‘ศรราม น้ำเพชร’ พระเอกลิเกขวัญใจแม่ยกทั้งประเทศ

               ด้าน ‘พรสวรรค์’ ศรราม น้ำเพชร หรือ แบงค์ - ศรราม เอนกลาภ สืบสายเลือดมาจากครอบครัวลิเกโดยแท้

               เป็นหลานตา ‘จำเนียร ลูกท่าเรือ’ คณะลิเกดังของอยุธยา ลูกพระเอกลิเก ‘มนต์รัก มนตรี’ หรือ ปราสาท เอนกลาภ และนางเอก-นางร้ายแสนสวย ‘ดวงแก้ว ลูกท่าเรือ’ หรือ แก้วใจ บุญประกอบ ทำให้เด็กชายแบงค์ ได้ซึมซับบรรยากาศและผูกพันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ เติบโตมากับวิกลิเก จนเริ่มร้องเและรำเป็น

               เริ่มแสดงครั้งแรกตอนอายุได้ 4 ขวบ เพราะเห็นพ่อ-แม่และพี่สาวเล่นลิเกจริง และได้เงินจริง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กชายแบงค์ ออกแสดงหน้าเวที เพื่อนำไปซื้อของเล่นด้วยตัวเอง แล้วก็ไม่ผิดหวัง ได้ทั้ง ‘พวงมาลัยติดแบงค์’ และแม่ยกมาเพียบ

               แต่ไปๆ มาๆ เด็กชายแบงค์กลับชอบลิเกเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้พ่อ-แม่ตัดสินใจก่อตั้งลิเกคณะใหม่เมื่อตอนที่ลูกชายอายุได้ 6 ขวบ โดยใช้ชื่อลูกทั้งสองมาเป็นชื่อคณะ เปิดตัวในฐานะ ‘ลิเกเด็ก’ ออกเดินสายแสดงสด ไปสัมภาษณ์สื่อรายการต่างๆ และบันทึกซีดี-ดีวีดีลิเกออกขายกับค่ายใหญ่ของวงการ โดยมีฉายาแรกที่ได้รับคือ ‘พระเอกฟันหลอ’ ควบคู่ไปกับฉายา ‘ พระเอกม้าทอง’ เนื่องจากเต้นท่าม้าได้สวยงามจนเป็นเอกลักษณ์

               ด้วยความน่ารักสดใสของทั้งแบงค์และพี่สาว เฮ็น-น้ำเพชร บวกกับความดังของ ดวงแก้ว ลูกท่าเรือ นางเอกลิเกตลอดกาลขวัญใจของหนุ่มๆ หลายรุ่น ทำให้งานไหลมาเทมาไม่หยุด หนึ่งปีมีงานไม่ต่ำกว่า 320 วัน จากทั้งปีมีอยู่ 365 วัน

               ขณะที่ พ่อมนต์รัก ถอยจากงานแสดงหน้าเวทีมารับหน้าที่ ‘ผู้จัดการ’ เต็มตัว ทำให้ดูแลได้อย่างทั่วถึง ไม่เพียงคิวงานเดินสายที่แน่นข้ามปีเท่านั้น แต่ยังแบ่งเวลาไป ‘ออกสื่อ’ รายการต่างๆ ด้วย ทั้งแบงค์และพี่สาวจึงได้ออกจอตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบดีนัก

               ด้านการร้องนั้น พระเอกศรรามมีความพิเศษ สามารถร้องท่องบทได้ยาว และชัดเจน หลายครั้งที่ไปแสดงตามงานวัด เจ้าภาพหรือคณะกรรมการแต่ละวัดถึงกับมาดูใต้ถุนเวที ไปจนถึงหลังเวที ว่าร้องจริงหรือลิปซิงค์กันแน่

               ไม่เพียงเสียงหวานใสของพระเอกศรราม (ในร่างเด็กชายแบงค์) เท่านั้น ที่ถูกใจบรรดาแม่ยกทั้งหลาย แต่ลีลา ‘ลูกอ้อน’ ของเขาก็ไม่ธรรมดา เมื่อใดที่ ‘องค์ลง’ เมื่อนั้นความเป็นพระเอกลิเกมาทันทีอย่างน่าแปลกใจ

               ต้นแบบด้านการแสดงคนสำคัญคือ ‘แม่ดวงแก้ว’ ทั้งการรำ การร้อง และการทุ่มเทกับงานเต็มที่ อีกทั้งได้ฝึกปรือฝีมือด้วยการซ้อมจริง-เล่นจริง กับแม่บนเวทีด้วย ทำให้พัฒนาการก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่พ่อมนต์รัก คอยดูแลด้านการฝึกซ้อมให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ พระเอกศรรามจึงมีความรับผิดชอบมาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นวันที่แขนซ้ายหักเนื่องจากกระโดดเล่นซน ก็ยังยอมให้พ่อดัดแขนกันสดๆ แล้วใส่เฝือกขึ้นไปแสดงบนเวทีตามปกติ และไม่ยอมยกเลิกคิวที่จะไปออกรายการสัมภาษณ์ทางทีวีอีกต่างหาก

               ในด้าน ‘พรแสวง’ ศรรามไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่เติบโตมาอย่างสมวัย ใช้ชีวิตในแบบเด็กหนุ่มทั่วไป และแสดงลิเกอาชีพไปด้วย

               โดยเฉพาะด้านความเป็น ‘แบงค์-ศรราม เอนกลาภ’ นั้น เขาใช้ชีวิตเต็มที่ และเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองงานและกิจกรรมใหม่ๆ หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะงานเดินแบบ, ถ่ายแฟชั่น, กีฬา, การศึกษา รวมถึงการร่วมกิจกรรมต่างๆ หนุ่มแบงค์ทำได้ปกติ โดยไม่ปล่อยให้คำว่า ‘พระเอกลิเกเงินล้าน’ มาเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต ทันทีที่ลบเครื่องสำอางและชุุดพระเอกออกไปแล้ว ก็เหลือเพียงเด็กหนุ่มคนธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแต่ใช้ชีวิตสมฐานะ มีรถสปอร์ตขับเท่านั้นเอง ทำให้ชื่อเสียงและความสามารถของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ไม่ใช่อยู่ในเฉพาะ วิถีลิเก อีกต่อไป

               มากกว่านั้น แบงค์ยังเป็น ‘พระเอกลิเกยุคโซเชียล’ ที่ติดตามข่าวสารและตอบตรง ดังเช่นครั้งที่มี ‘ประเด็นร้อน’ ระหว่าง เขากับ ‘ซีดี เดอะสตาร์’ ทุกอย่างเงียบหายไปภายในไม่กี่วัน เนื่องจากเขาให้สัมภาษณ์และโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อแม่ยกเข้าใจแล้วถือว่า-จบข่าว!!

               แบงค์ยอมรับว่า มีชีวิตสองภาค ทั้งหนุ่มแบงค์ คนธรรมดา กับ ศรราม น้ำเพชร พระเอกลิเก แต่ทั้งสองภาคก่อกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกันคือ ‘ลิเก’

               และสามารถนำทั้งสองสิ่งสองภาคนี้มาประสานจนเกิดงานใหญ่ยักษ์ได้เป็นอย่างดี เห็นได้ชัดจากครั้งที่เขาบวช นอกจากได้ทำหน้าที่ของลูกชายคนหนึ่งเพื่อทดแทนคุณบิดา-มารดาแล้ว ในฐานะ ‘พระเอกลิเก’ เขาก็ได้เชิญชวนแม่ยกและแฟนคลับมาร่วมบุญใหญ่ด้วยกัน จนเป็นข่าวใหญ่ ‘โปรยทานเงินล้าน’ ครั้งประวัติศาสตร์

               สำหรับการรวมตัวของคณะศรรามน้ำเพชร มีความลงตัวมาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะแต่ละคนต่างมีแฟนคลับของตัวเองอยู่แล้ว

               ไม่เพียงมีพระเอกลิเกคนดังเท่านั้น แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่เป็น ‘แม่เหล็ก’ หลายคน ทั้ง น้ำเพชร พี่สาว และลิเกรุ่นใหม่ๆ ในคณะ รวมถึง แม่ ‘ดวงแก้ว ลูกท่าเรือ’ ที่ยังมาแสดงร่วมกับพระเอกเงินล้านอยู่เรื่อยๆ จึงโกยเรทติ้งได้ดีไม่มีหยุด

               อีกทั้ง ‘ถูกจังหวะ’ ในเรื่องของเทคโนโลยีการสื่อสารและการแสดง เพราะตอนเริ่มต้นนั้นเป็นยุคที่ วีซีดี-ดีวีดี มาแรง จึงได้บันทึกการแสดงสดออกมาขายให้กับแฟนคลับ จากนั้นขยายสู่โลกไซเบอร์ด้วยการลงคลิปการแสดงให้ชมผ่านทางยูทูบ ก่อนที่จะเข้าสู่โลกโซเชียลมีเดีย ที่มีการ Live สด ทาง Facebook เช่นในปัจจุบันทำให้สื่อสารอัพเดตกับแฟนคลับ-แม่ยกกันทุกความเคลื่อนไหว

               พ่อมนต์รักยอมรับว่าครั้งหนึ่งเคยคิดออกจากวงการ เพราะกระแสลิเกตกลงไปมาก แต่แล้วที่สุดคิดได้ และก่อตั้งคณะใหม่ขึ้นมา เพราะได้รับแรงบันดาลใจครั้งสำคัญจากลิเกที่ดังที่สุดในยุคนั้น ก็คือ ‘เอ-ไชยา มิตรชัย’ ในวันที่ ‘กระทงหลงทาง’ ดังสุดขีด

               ครั้งนั้นพ่อมนต์รักตกปากรับคำชวนของ เอ-ไชยา ให้ไปช่วยงานแสดง แต่เมื่อไปเห็นบรรยากาศการซ้อมของ เอ-ไชยา ที่ดังแล้วแต่ยังไม่หยุดฝึกซ้อม จึงทำให้เขาคิดใหม่และเปลี่ยนใจกลับมาก่อตั้ง ‘ศรราม-น้ำเพชร’ ในที่สุด โดยตั้งเป้าให้ลูกเป็นเหมือน ‘The Star ลิเก’

               คาถาสำคัญที่ให้ลูกๆ คือ ‘แสดงให้ดี’ ไม่เพียงแต่การรำ การร้อง แต่รวมถึงองค์ประกอบสำคัญอย่าง ‘ชุดลิเก’ ที่ออกแบบและสร้างสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรตระการตา แต่ละชุดหลักแสนทั้งนั้น ขณะเดียวกันก็ยกระดับโปรดักชั่นการแสดงด้านฉากแสงสีเสียงให้คนดูรู้สึกคุ้มค่าด้วย

               ต่อบทบาท ‘หัวหน้าคณะ’ ของพระเอกวัย 20 ปี ดูเหมือน แบงค์-ศรราม ไม่หนักใจ มีแต่รักษามาตรฐานการแสดงไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันมุ่งมั่นพัฒนาที่จะยกระดับ ‘ลิเก’ ไปต่างประเทศด้วย โดยมีแผน ‘โกอินเตอร์’ ยกคณะ 40 ชีวิต ไปแสดงที่ลอสแองเจลิสเป็นครั้งแรก หวังเผยแพร่มรดกศิลปะการแสดงของไทยไปในวงกว้าง ให้ฝรั่งพูดคำว่า ‘ลิเก’ ให้ได้ และอาจถึงขั้นร้องลิเกเป็นภาษาต่างประเทศ ก็เป็นได้ เพราะตัวเขาเองก็เรียนด้านงานต่างประเทศนี้อยู่แล้ว

               อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้เขาก็ถือว่าผ่านการพิสูจน์มาระดับหนึ่งแล้ว นอกจากทำให้แฟนคลับยิ้มมีความสุขแล้ว ยังทำให้ลูกน้องในคณะอยู่ดีกินดี มีงานทำ และรายได้เลี้ยงดูครอบครัวอย่างมีความสุข

               ไม่น่าแปลกใจเพราะคิวจองของคณะนี้ ยาวไปถึงปี 2563 แล้ว

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ