คุณหญิงทิพาวดี ชี้ คำสั่งรับสมัครสอบตร.เฉพาะชาย ขัด รธน.-กม.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ จี้ให้แก้ไข พร้อมตอบสาระ ร่างกฎหมายตำรวจ ไม่บัญญัติปมกีดกันด้านเพศ
รามาการ์ เด้นท์ - 3 สิงหาคม 2561 - "คุณหญิงทิพาวดี" ชี้ คำสั่งรับสมัครสอบ ตร. เฉพาะชาย ขัด รธน. -กม. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ จี้ให้แก้ไข พร้อมตอบสาระ ร่างกฎหมายตำรวจ ไม่บัญญัติปมกีดกันด้านเพศ เหตุมีอันตราย หวั่นได้คนตรงเพศ แต่ไร้ความสามารถไปทำงาน ย้ำการรับสมัครข้าราชการ ควรยึดความรู้-ความสามารถเป็นหลัก
ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา สมาคมส่งเสริมศักยภาพสตรี พร้อมองค์กรภาคี จัดเวทีสัมมนา เรื่อง "การเมืองเรื่องความเสมอภาคระหว่างเพศ" พร้อมเสนอความเห็นไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา ชุดพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธษน เพื่อแก้ปัญหาการกีดกันเพศหญิงเข้ารับราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หลังมีประกาศรับสมัครสอบเข้ารับราชการตำรวจสัญญาบัตรคุณวุฒิเนติบัณฑิต เพื่อทำหน้าที่สายงามสอบสวน ที่จำกัดการรับสมัครเฉพาะเพศชายเท่านั้น
โดยคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ กรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ กล่าวตอนหนึ่งว่าหลังจากทราบประกาศของสตช.ที่รับสมัครสอบเข้ารับราชการตำรวจสัญญาบัตรคุณวุฒิเนติบัณฑิต เพื่อทำหน้าที่สายงานสอบสวน เฉพาะเพศชาย ตนนำเข้าที่ประชุมกรรมการฯ และเล่าให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการฯ ฐานะอดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยคำตอบที่ได้ คือ ประกาศรับสมัครสอบที่จำกัดเฉพาะเพศชาย ขัดกับรัฐธรรมนูญ ขณะที่ความเห็นของตน มองว่า การประกาศรับสมัครสอบ หรือแข่งขันต้องยึดความรู้ ความสามารถ ตามความจำเป็นและเหมาะสมกับตำแหน่งที่ประกาศรับสมัคร ขณะเดียวกันการดำรงตำแหน่งข้าราชการ ควรยึดระบบคุณธรรม ที่มีหัวใจคือ หลักความสามารถ ดังนั้นการเปิดรับสมัครข้าราชการ ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนด้านการประกอบอาชีพ การระบุหรือจำกัดเพศ เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย ว่าด้วยความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 มาตรา 17
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงดังกล่าวตัวแทนนักการเมืองและภาคประชาชนที่ร่วมเวที ตั้งคำถามถึงการกีดกันทางเพศในด้านอาชีพ และเสนอเพื่อให้บัญญัติไว้ในร่างพ.ร.บ.ตำรวจ ด้วยว่า การรับสมัครหรือดำรงตำแหน่งใดในหน่วยงาน ให้คำนึงถึงความเสมอภาคระหว่างเพศชาย กับ หญิง หรือ บัญญัติ ห้ามปิดกั้นเพื่อเพศสภาพ เพื่อไม่ให้บุคคลไม่ว่าอยู่ในเพศใดถูกจำกัด โดยคุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า การกำหนดโควต้าไว้ในกฎหมาย เป็นเรื่องที่มีข้อดีและข้อเสีย เพราะกรณีแต่งตั้งบุคคลยึดตามโควต้า ชาย และหญิงนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายเพราะอาจได้บุคคลที่ตรงเพศแต่ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ และเมื่อเข้าไปปฏิบัติงานอาจตกเป็นเครื่องมือของบุคคลได้ง่าย. ดังนั้นสิ่งที่ต้องต่อสู้ร่วมกันเกี่ยวกับความเสมอภาคระหว่างเพศ ต้องปรับแนวคิดใหม่ เป็นการสร้างความยอมรับด้านความรู้ ความสามารถ มากกว่ายึดเรื่องเพศเป็นหลัก
คุณหญิงทิพาวดี กล่าวด้วยว่า สำหรับร่างพ.ร.บ.ตำรวจ ที่จัดทำแล้วเสร็จเบื้องต้น มีหลักการปฏิรูปที่สำคัญ คือ กำหนดว่าพนักงานสอบสวน ไม่จำเป็นต้องเป็นข้าราชการตำรวจ เพราะเนื้อหาร่างกฎหมายบัญญัติให้พนักงานสอบสวนมีอิสระ และมีความมืออาชีพ ขณะที่ผู้บังคับบัญชางานสอบสวน ต้องเป็นผู้ที่ดูแลและรับผิดชอบโดยตรงเพื่อแก้ปัญหากรณีที่มีผู้มีอำนาจแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงรูปคดี
ขบวนการสตรี จ่อยื่น "ผู้ตรวจฯ" เอาผิด คนออกประกาศรับสมัครสอบ ตร. เฉพาะเพศชาย ชี้สาระขัดรธน.-กม.เท่าเทียมระหว่างเพศ ด้าน "รัชดา" ชี้จำกัดเพศหญิงเป็น พนง.ตร. เพราะขาดวิสัยทัศน์การแก้ปัญหาภัย-ความรุนแรงต่อเพศหญิง ส่วน "ตัวแทนพนง.สอบสวนหญิง" ยอมรับปัญหาระหว่างทำงาน แนะต้องหาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพ
สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี จัดเสวนา เรื่อง "การเมืองเรื่องความเสมอภาคระหว่างเพศ : กรณี สตช. ไม่รับเนติบัณฑิตหญิงเป็นพนักงานสอบสวน" โดยมีตัวแทนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรต่อสู้เพื่อผู้หญิง , นักการเมืองและตัวแทนตำรวจหญิง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นและนำเสนอแนวทางที่จะยื่นต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อทบทวนต่อประกาศสมัครสอบข้าราชการตำรวจสัญญาบัตร คุณวุฒิเนติบัณฑิต เพื่อทำหน้าที่สายงานสอบสวน เฉพาะเพศชาย
โดยน.ส.ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ตัวแทนนักการเมือง จากพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้มีกระบวนการเคลื่อนไหวและกดดันให้ ประกาศรับสมัครสอบดังกล่าว เป็นโมฆะ แม้ขณะนี้จะปิดรับสมัครสอบแล้ว เนื่องจากคำประกาศดังกล่าวพบเนื้อหาที่ขัดต่อหลักสิทธิ และความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 โดยส่วนที่ต้องร่วมเคลื่อนไหวสำคัญคือ ภาคการเมือง และองค์กรสตรีภายนอกหน่วยงาน สตช. ต้องช่วยกันทำหนังสือไปยังหน่วยงาน อย่าปล่อยให้พนักงานสอบสอบสวนต้องดำเนินการเอง เพราะมีส่วนบังคับบัญชาที่กำกับการทำหน้าที่ แต่หากสตช. ยังนิ่งเฉย จำเป็นต้องทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฐานะผู้กำกับดูแล สตช. เพื่อให้พิจารณา
ขณะที่น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ตัวแทนนักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าประกาศของสตช. ต่อการรับสมัครสอบดังกล่าว อาจเป็นเพราะความไม่รู้กฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ ซึ่งมองให้เห็นว่า สตช. หรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องนั้นขาดวิสัยทัศน์ต่อการแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและปัญหาที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อของการกระทำความรุนแรง ทั้งที่ในทางสากลเปิดรับพนักงานสอบสวนหญิงเพื่อหวังให้แก้ปัญหา เช่น ประเทศบราซิล , ประเทศอินเดีย ที่มีปัญหาความรุนแรงกับผู้หญิง วิธีแก้ปัญหาคือ เพิ่มพนักงานสอบสวนหญิง ในพื้นที่ รวมถึงริเริ่มให้มีพนักงานตำรวจหญิงในสถานีต่างๆ หรือในบางสถานีตำรวจมีพนักงานตำรวจเป็นผู้หญิงทั้งหมด เพื่อเป้าหมายแก้ป้ญหาการใช้ความรุนแรงกับเพศหญิง หรือเพศหญิงตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม
"ประเทศไทยมีพนักงานสอบสวนหญิง ประมาณ 400 คน จากตำแหน่งกว่า 10,000 ตำแหน่ง ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำกับคำสั่งที่ออกมาโดยไม่ถูกต้อง และขัดรัฐธรรมนูญนั้น ควรใช้ช่องทางของผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้วินิจฉัยคำประกาศของสตช. ดังกล่าว อย่างน้อยเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานว่า ไม่ว่าหน่วยงานรัฐ ราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ องค์กรเอกชน หากจะกีดกันการสมัครงานเพราะเพศสภาพ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกันขอเรียกร้องให้สำนักงานกิจการสตรี กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้แสดงบทบาทต่อการพิทักษ์สิทธิและความเสมอภาคของสตรี และต้องไม่ทำบทบาทดังกล่าวเฉพาะ สตช. เท่านั้น แต่ต้องเป็นทุกหน่วยงาน" น.ส.รัชดา กล่าว
ขณะที่พ.ต.ท.หญิง เพชรรัตน์ เลิศวานิช สารวัตรสอบสวน สน.บางพลัด ฐานะตัวแทน ชมรมพนักงานสอบสวนหญิง กล่าวว่าการประกาศรับสมัครสอบฯ ที่มีข่าวระบุว่า รับเฉพาะเพศชาย ตนไม่แน่ใจว่าเป็นเชิงนโยบายหรือกาารให้สัมภาษณ์ภายหลังจากการแถลง เพราะโดยปกติการเปิดรับสมัครสอบฯ จะไม่ระบุหรือจำกัดว่าเป็นเพศใดเท่านั้น ขณะที่การทำงานภายใน สตช. ที่เปิดรับสมัครพนักงานสอบสวน เพศหญิง ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 พบว่าการทำงานของพนักงานสอบสวนหญิงมีปัญหาและอุปสรรค เพราะถูกคาดหวังจากผู้ชายว่าต้องมีความละเอียดและรอบคอบที่สูงกว่า แต่บางเรื่องต้องให้ความเท่าเทียมระหว่างการทำงาน เช่น การปฏิบัติหน้าที่ พื้นที่วิกฤต หรือเหตุการณ์อันตราย เป็นต้น ดังนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ควรปรับเป้าหมายเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเน้นการอบรมเพิ่มความรู้ ความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ที่รับผิดชอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังเวทีเสวนา สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี พร้อมองค์กรภาคี ที่ร่วมงาน อาทิ ขบวนการผู้หญิงปฏิรูปประเทศ, เจนเดอร์ โพลิติกส์ กรุ๊ป และผู้ร่วมเสวนามีความเห็นร่วมกันว่าจะทำหนังสือไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน ฐานะองค์กรอิสระที่มีหน้าที่พิทักษ์ด้านความเสมอภาค ให้ตรวจสอบการออกประกาศสมัครสอบเข้ารับราชการตำรวจสัญญาบัตร คุณวุฒิเนติบัณฑิต เพื่อทำหน้าที่สายงานสอบสวน เฉพาะเพศชาย ว่า เข้าข่ายขัดกับรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย รวมถึงปฎิญญาสากลที่เกี่ยวกับการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และการไม่เลือกปฏิบัติ หรือไม่ ขณะเดียวกันขอเรียกร้องไปยัง สตช. ให้แก้ไขคำประกาศรับสมัครสอบดังกล่าวฯ เพราะผู้ร่วมเสวนาเห็นว่าประกาศดังกล่าวมีความไม่ชอบตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นในการรับสมัครข้าราชการตำรวจของสตช. ควรกำหนดให้ชัดเจนต่อการบรรจุพนักงานเพศหญิงให้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจทุกสถานี และเพื่อส่งเสริมและยกระดับเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจด้านความเสมอภาคด้านเพศ ต้องจัดอบรมพนักงานทุกเพศสภาพให้ความเข้าใจในทิศทางเดียวกัน แต่ในท้ายสุดหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิกเฉย องค์กรที่เกี่ยวข้องอาจต้องยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ และเคลื่อนไหวผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง