700 องค์กรยื่นจดหมายกดดัน นายกตู่ ยกเลิกยาฆ่าหญ้า "พาราควอต - คลอร์ไพริฟอส"
หลังจาก “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” มีมติตัดสิน “ไม่ยกเลิก” การขายสารพิษอันตรายฆ่าหญ้า ๓ ชนิด ได้แก่ “พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต” เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา สร้างความสงสัยเคลือบแคลงใจให้กลุ่มนักวิชาการและกลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้แทนเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารเคมีที่มีอันตรายร้ายแรง เป็นผู้อ่านแถลงการณ์และจดหมายถึงนายกฯ จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กฤษฎา บุญราช รับจดหมายถึงนายกฯ
เนื่องจากสารพิษกลุ่มประเทศทำเกษตรกรรม 53 ประเทศห้ามซื้อขายและห้ามใช้อย่างเด็ดขาดแล้ว และและอีก 15 ประเทศควบคุมการใช้อย่างเข้มงวด ทำให้กลุ่มแพทย์ เภสัชกร นักวิชาการและองค์กรภาคประชาชนประกาศความร่วมมือจัดกลุ่มเสวนาและเผยแพร่หลักฐานอันตรายของสารพิษทั้ง 3 ตัวนี้ออกสู่สาธารณะอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนรัฐบาลยังไม่รับทราบถึงปัญหาและอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นจากสารพิษเหล่านี้
โดยเฉพาะหลักฐานงานวิจัยพบการตกค้าง “พาราควอต” ในซีรั่มทารกแรกเกิด เนื่องจากหญิงตั้งท้องพบความเสี่ยงรับสารพิษพาราควอตมากกว่าคนทั่วไป 6 เท่า ส่วนสารไกลโฟเซตมากกว่าคนทั่วไป 12 เท่า ผลสำรวจแม่ลูกอ่อนพบสารเคมีคลอร์ไพริฟอสในน้ำนมแม่ร้อยละ 41 และมีทารกน้อยร้อยละ 5 รับสารตัวนี้ผ่านทางน้ำนมแม่ เนื่องจากสารพิษทั้ง 3 ชนิดนี้ เกษตรกรนิยมซื้อมาเพื่อใช้ฆ่าหญ้าหรือวัชพืชในแปลงผัก เช่น กระเทียม ผักชี ไร่อ้อย ไร่ยางพารา ฯลฯ นอกจากสารพิษตกค้างในอาหารแล้วยังกระจายลงสู่สิ่งแวดล้อมในชุมชน ส่งผลให้สุขภาพชาวบ้านย่ำแย่เจ็บป่วยเรื้อรัง
คนไทยเอาไงดี ? พิษยาฆ่าหญ้า "จากแม่สู่ทารก" (อ่านต่อ...)
ล่าสุด เช้าวันที่5 มิถุนายน 2561 ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน 686 องค์กร นัดเคลื่อนขบวนประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือแถลงการณ์ถึงนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีเนื้อหาดังนี้
“ขอให้ทบทวนมติและกระบวนการพิจารณาเพื่อยกเลิกการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอส
ตามที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้มีการประชุมครั้งที่ ๓๐-๑/๒๕๖๑ และมีการพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตราย ๓ ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา และมีมติไม่ยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายทั้ง ๓ ชนิด โดยให้เหตุผลว่าข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ ซึ่งขัดแย้งกับผลการพิจารณาของคณะกรรมการหลายชุดก่อนหน้านี้ รวมทั้งความเห็นของประชาคมวิชาการและมติของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ในการนี้เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรงซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชน 686 องค์กร ที่ได้ติดตามสถานการณ์เรื่องนี้และสนับสนุนมติของกระทรวงสาธารณสุข มีข้อสังเกตต่อกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายและการทำงานของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตราย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ดังนี้
๑) ในขณะที่กรมวิชาการเกษตรขอปรึกษาคณะกรรมการวัตถุอันตรายในประเด็นผลกระทบต่อสุขภาพ เพื่อควบคุมสารทั้ง ๓ ชนิด แต่การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตรายฯ กลับเลือกตัวแทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และอดีตข้าราชการกระทรวงเกษตรฯถึง ๔ คน และอีก ๔ คนเลือกจากผู้ที่แสดงจุดยืนสนับสนุนกระทรวงเกษตรฯ จากคณะกรรมการที่มีจำนวน ๑๒ คน ซึ่งล้วนแต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านผลกระทบต่อสุขภาพ
๒) อนุกรรมการเฉพาะกิจฯดังกล่าวใช้ข้อมูลเก่าล้าสมัย เพื่อโน้มน้าวให้มีการใช้สารพิษร้ายแรงดังกล่าวต่อไป โดยเพิกเฉยต่อข้อมูลเชิงประจักษ์และรายงานใหม่ๆเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเครือข่ายนักวิชาการจากหลายสถาบัน เช่น สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยนเรศวร ต้องจัดเวทีให้ข้อเท็จจริงทางวิชาการ
๓) กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายในวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ มีกรรมการอย่างน้อย ๓ คนมีส่วนได้เสียกับสมาคมค้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่กลับไม่มีการแสดงการมีส่วนได้เสียและไม่มีการสละสิทธิ์ลงคะแนน ซึ่งอาจขัด พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๒ วรรค ๒ (เอกสารแนบ ๖)
เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรงจึงขอกราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้โปรดพิจารณาบัญชาให้มีการดำเนินการ ดังนี้
๑) ให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายทบทวนมติ และพิจารณายกเลิกพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ในเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ตามกรอบเวลาที่กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอไว้ โดยกระบวนการพิจารณาข้อมูลและลงมติต้องไม่มีผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วม เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๒ วรรค ๒ ใช้ข้อมูลที่ทันสมัย เป็นกลางทางวิชาการ และมาจากหน่วยงานที่มีความเชียวชาญโดยตรง ได้แก่ ผลการพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุข (เอกสารแนบ ๑ และ ๓) คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เอกสารแนบ ๔) และข้อมูลจากเครือข่ายประชาคมวิชาการ (เอกสารแนบ ๕) ซึ่งเพียงพอต่อการพิจารณายกเลิกการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอส เนื่องจากเป็นเหตุผลที่สอดคล้องกับ ๕๓ ประเทศที่ยกเลิกการใช้พาราควอตไปก่อนหน้านี้ และเป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (เอกสารแนบ ๗) นำประเทศมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
๒) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการศึกษาหาวิธีการทดแทน ตามมติของสภาเกษตรกรแห่งชาติ (เอกสารแนบ ๒) เพื่อปกป้องคุ้มครองสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค ทั้งนี้จากการสำรวจของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช พบว่า เกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ข้าว อ้อย ข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และมันสำปะหลัง ร้อยละ ๖๓ ไม่ได้ใช้พาราควอตในการกำจัดวัชพืช นั่นหมายถึงมีสารกำจัดวัชพืชชนิดอื่นและวิธีการในการจัดการวัชพืชที่มีประสิทธิภาพมากกว่าพาราควอตอยู่แล้ว หากแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รวบรวมองค์ความรู้เหล่านี้มาเผยแพร่ในวงกว้าง
๓) ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ก่อนจะยกเลิกการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสในปี ๒๕๖๒ หากพบว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนของเกษตรกร เสนอให้กระทรวงการคลังศึกษาและจัดเก็บภาษีจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีอันตรายร้ายแรง มาใช้ในการเยียวยาผลกระทบและสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีจัดการวัชพืชที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะลดผลกระทบจากการถูกกีดกันทางการค้าจากความไม่ปลอดภัยของสารพิษตกค้าง การละเมิดสิทธิเกษตรกรที่ใช้สารพิษที่อันตรายร้ายแรง ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกในระยะยาว
จึงกราบเรียนมาเพื่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีโปรดพิจารณาดำเนินการ เพื่อปกป้องสุขภาพของเกษตรกร ผู้บริโภค ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และประโยชน์สุขของประชาชนไทยทั้งประเทศ
คุณต้องการให้หยุดใช้ 'ยาฆ่าหญ้า-พาราควอต กับ ยาฆ่าแมลง - คลอไพริฟอส' หรือไม่
(คลิกร่วมหยุดใช้ 'ยาฆ่าหญ้า-ยาฆ่าแมลง' ที่นี่...)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง