ข่าว

ยกฟ้องอดีตผอ.รพ.วชิรปราการคดีซื้อขายไต

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลฎีกา ยืนยกฟ้องอดีตผอ.รพ.วชิรปราการกับพวกรวม 4 คน คดีซื้อขายไต

            เมื่อช่วงสายวันนี้ (28ก.ย.59) นพ.สิโรจน์ กาญจนปัญจพล อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีซื้อขายไต ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้องอดีตแพทย์โรงพยาบาลวชิรปราการรวม 4 คน เป็นจำเลยฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ที่ศาลอาญารัชดา โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้อง

             ที่ห้องพิจารณา 714 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 28 ก.ย.59 เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีผ่าตัดปลูกถ่ายไต หมายเลขดำ ด.1242/2545 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ และนางหนูแดง ดีโยธา กับนายเจริญ ดีโยธา มารดาและบิดาของ น.ส.ลัดดา ดีโยธา ผู้ที่ถูกผ่าตัดไตออกไป เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นพ.สิโรจน์ กาญจนปัญจพล อดีต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรปราการ จ.สมุทรปราการ, นพ.วีระเดช เลิศดำรงลักษณ์ ศัลยแพทย์, นายนันทวิทย์ ธงไชย อดีตผู้จัดการ รพ.วชิรปราการ และ นพ.วิวัฒน์ ถิระพานิช ศัลยแพทย์ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปลอมเอกสารกับใช้เอกสารปลอม

             โดยคดียื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 เม.ย.45 ระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 24-26 ก.พ.40 เวลากลางวัน จำเลยร่วมกันปลอมเอกสารหนังสืออุทิศให้อวัยวะของ รพ.วชิรปราการ โดยให้นายเจริญ ดีโยธา และนายสมเกียรติ ตันชนะชัย พ่อและสามีของ น.ส.ลัดดา ดีโยธา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชน ลงรายมือชื่อไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ได้ร่วมกันผ่าตัดเอาไตทั้งสองข้างและตับของคนไข้ทั้งสองออกไป และจำเลยที่ 1-2 ยังร่วมกันผ่าตัดเอาไตของนางนาง นงค์พรมมา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชนออกไป ขณะที่คนไข้ทั้งสองยังใส่เครื่องช่วยหายใจและยังไม่ถึงแก่ความตาย เพื่อนำไปปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้ป่วยรายอื่น เป็นเหตุให้คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตาย

             ซึ่งศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 ก.พ.48 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่า แม้หนังสืออุทิศอวัยวะ จะมีการเติมข้อความด้วยลายมือว่า “ ตับ” ลงในเอกสาร แต่พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันในรายละเอียดว่าเหมือนลายมือของจำเลยที่ 1 จึงมีข้ออันควรสงสัยว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้เขียนข้อความดังกล่าวลงในหนังสืออุทิศอวัยวะของคนไข้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 1ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม ส่วนในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นได้ว่า มีการใช้ยาหรือมีการทำโดยประการใดๆ ของพวกจำเลย ทำให้คนไข้ทั้งสองแกนสมองตายโดยเจตนา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนที่จะมีการผ่าตัดนำอวัยวะ (ไตและตับ) ออกไป

            และเมื่อวันที่ 23 ก.ย.53  ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง ต่อมาอัยการโจทก์และโจทก์ร่วม ยื่นฎีกา

               ขณะที่ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว โจทก์ร่วมฎีกาถึงปัญหาการเสียชีวิตตามกฎหมาย  ศาลเห็นว่า การตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ต้องเป็นการทำให้ตาย แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติลักษณะการตายไว้ชัดแจ้ง จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยการตาย ซึ่งแพทยสภา ออกประกาศเกี่ยวกับการวินิจฉัยโดยมีประเด็นเรื่องแกนสมองถูกทำลายจนสิ้น ไม่สามารถทำให้ระบบหัวใจทำงานได้และร่างกายขาดออกซิเจน หากขาดเครื่องช่วยหายใจ ร่างกายจะขาดการตอบสนอง ซึ่งกรณีของผู้ป่วยทั้งสองแพทย์ได้ตรวจถึง 2 ครั้งทิ้งช่วงเวลาห่างกัน 10 ชั่วโมงพบว่าผู้ป่วยไม่หายใจทั้งสองครั้ง จึงลงความเห็นในบันทึกว่าแกนสมองถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และก่อนผ่าตัดอวัยวะวิสัญญีแพทย์ได้ตรวจแล้วผู้ตายไม่หายใจ  

              การที่จำเลยที่ 1 , 2 และ 4 ร่วมกันผ่าตัดเอาไตออกจากผู้ตายทั้งสองที่อยู่ในสภาวะสมองตายตามการวินิจฉัยของแพทย์ ตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา ถือเป็นการกระทำต่อคนตายแล้ว จึงไม่อาจเป็นการฆ่าได้อีก ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน   

               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้อัยการโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้เดินทางมาศาล

               ขณะที่ นพ.สิโรจน์ มีคนใกล้ชิดเดินทางมาให้กำลังใจและร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ภายหลังฟังคำพิพากษา นพ.สิโรจน์ ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับคดี มีเพียงทนายความ กล่าวว่า หมอได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง เพราะหมอเรียนมาเพื่อช่วยชีวิตคน ไม่ใช่ทำร้ายคน 20 ปีที่ผ่านมาหมอก็เป็นทุกข์  แต่ศาลได้ให้ความยุติธรรมแล้ว

               ด้าน นพ.วีระเดช ศัลยแพทย์ จำเลยร่วม กล่าวสั้นๆ ว่า “เรียบร้อยดีครับ”

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ