ข่าว

ชทพ.โดดร่วมวงแก้รธน.-มั่นใจทุกพรรคร่วมมือทำสำเร็จ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ปชป.ติงคำพูด"ธนาธร"ฉีกรธน.-นิรโทษกรรมทำคนไทยสับสน หวั่นเกิดขัดแย้งซ้ำอีก ด้าน"วราวุธ"โดดร่วมวงแก้รัฐธรรมนูญผ่านทางส.ส.ร. มั่นใจทุกพรรคร่วมมือทำสำเร็จแน่นอน

    เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประกาศแนวนโยบายฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ทิ้งทั้งฉบับ ว่า นายธนาธรใช้ถ้อยคำที่หวือหวามากเกินไป เพราะการฉีกรัฐธรรมนูญเปรียบเหมือนการยึดอำนาจ ทั้งนี้ไม่เคยได้ยินผู้ที่มาจากการเลือกตั้งออกมาพูดว่าหลังจากตัวเองได้รับเลือกตั้งมาแล้วจะฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง มีแต่คนที่พูดว่าพรรคของเขาเห็นว่าในรัฐธรรมนูญฉบับนั้นๆ มีเรื่องใดที่ไม่เหมาะสมควรต้องปรับปรุงแก้ไขประเด็นใดบ้าง ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากการที่ประชาชนส่วนใหญ่ลงประชามติเห็นด้วยให้บังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ หรือถ้าพรรคอนาคตใหม่จะไปจับมือพรรคการเมืองอื่นที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ก็สามารถดำเนินการได้ในรูปแบบของการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะมีบางหมวดที่ห้ามมีการแก้ไข

    เมื่อถามว่าการใช้คำพูดลักษณะดังกล่าวจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในเรื่องของรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า เขาควรสร้างความเข้าใจและให้ความรู้ประชาชนดีกว่า เพราะหากเขาไปฉีกรัฐธรรมนูญแล้วเกิดมีฝ่ายที่สนับสนุนรัฐธรรมนูญปี 2560 ออกมาเรียกร้องขอคืนรัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับคืนมาอาจเกิดวิกฤติรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีก จึงคิดว่าเขาควรใช้คำพูดต่างๆ ที่คนทุกรุ่นทุกวัยฟังเข้าใจง่ายและเข้าใจถูกต้อง ถ้าในรัฐธรรมนูญมีเรื่องไหนที่ไม่เหมาะสมก็มาช่วยกันพิจารณาการปรับปรุงแก้ไขดีกว่า

ชทพ.โดดร่วมวงแก้รธน.-มั่นใจทุกพรรคร่วมมือทำสำเร็จ

เตือนอย่าลืมบทเรียนนิรโทษกรรม

    ส่วนการที่นายธนาธรระบุด้วยว่าหากมีอำนาจจะนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อย่าลืมว่าในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มต้นเรื่องนิรโทษกรรมแบบนี้แล้วก็เลยเถิดไปจนทะลุซอยแล้วเกิดวิกฤตินำไปสู่การทำรัฐประหารยึดอำนาจ การที่เขาจะมาเริ่มต้นเรื่องการนิรโทษกรรมอีกครั้ง เกรงว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งกลับมา ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ขอให้ทุกคนจำบทเรียนไว้ ซึ่งเห็นว่าเขาเป็นคนรุ่นใหม่ไม่น่าจะมีความคิดในสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองกลับไปสู่ความขัดแย้งอีก

    ผู้สื่อข่าวถามว่าการนำเสนอเรื่องนิรโทษกรรมเช่นนั้นอาจทำให้เกิดความกังวลว่าจะรวมไปถึงคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ และจำเลยคนอื่นในคดีการทุจริตโครงการจำนำข้าวด้วยได้หรือไม่ นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า เป็นไปได้ที่อาจเกิดความไม่ไว้วางใจหรือสงสัยว่าการนิรโทษกรรมดังกล่าวจะเลยเถิดไปถึงคดีรับจำนำข้าวหรือคดีอื่นๆ ด้วยหรือไม่ ดังนั้นสิ่งใดที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกกังวล ขณะที่นักการเมืองไม่ค่อยได้รับความเชื่อถืออยู่แล้วก็ไม่ควรไปสร้างความกังวลให้ประชาชนเพิ่มอีก

ปชป.แทงกั๊กชูธงแก้รธน.

      “คนใหม่ พรรคใหม่ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องออกตัวแรงตอนต้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไปถึงยกท้ายๆ แล้วจะเป็นอย่างไร อย่างสำนวนไทยที่ว่าคนหนุ่มอวดรู้ คนแก่อวดแรง หมายความว่าคนหนุ่มแสดงภูมิความรู้ตัวเอง ขณะที่คนแก่ก็พยายามแสดงตัวว่ายังมีแรงมาก แม้ใครจะใช้คำพูดให้เกิดความหวือหวาเพื่อเรียกความสนใจ ขอให้เอาความจริงมาพูดกันดีกว่า ส่วนประชาชนทุกคนต้องตั้งสติและจดจำบทเรียน ถ้าไม่อยากให้ประเทศกลับไปมีปัญหาอีก เว้นแต่ว่าเราจะไม่จำบทเรียน สำหรับคนไทยนั้นเคยมีผู้กล่าวไว้ว่าประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่าเราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

     เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์นำเสนอเรื่องการแก้ไขธรรมนูญลงในนโยบายของพรรคด้วยหรือไม่ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ส่วนเรื่องนโยบายมีคณะกรรมการจัดทำนโยบายพิจารณาอยู่ สำหรับเรื่องรัฐธรรมนูญนั้น ต้องดูช่องทาง ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญก็มีระยะเวลาการบังคับใช้ของเขาอยู่ ซึ่งมีบางเรื่องที่มีความสำคัญมากก็อาจต้องทำประชามติสอบถามความเห็นถึงการแก้ไขในเรื่องนั้น

 

ชทพ.โดดร่วมวงแก้รธน.-มั่นใจทุกพรรคร่วมมือทำสำเร็จ

“วราวุธ”เอาด้วยขอแก้รัฐธรรมนูญ

     ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เพื่อเปิดทางร่างฉบับใหม่ ว่า มีข้อปฏิบัติที่ยากสำหรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเฉพาะระบบภายในของพรรคการเมือง ระบบเลือกตั้ง หรือแม้แต่กลไกต่างๆ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับการแก้ไข อะไรที่ดีก็คงไว้ ส่วนใดที่มีข้อจำกัดก็ควรแก้ไขให้เป็นไปตามครรลอง การชูเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องขัดกฎหมาย ส่วนใครจะคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้สมบูรณ์แล้วก็เป็นสิทธิที่สามารถคิดเห็นได้ แต่ในความเห็นมองว่าข้อจำกัดที่ต้องแก้ไขยังมีอยู่

“วิธีการที่ดีที่สุดก็คือหยิบวิธีที่สังคมไทยเคยมีประสบการณ์ โดยการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ขึ้นมาตาม และต้องทำด้วยวิธีที่เป็นที่ยอมรับ ให้คนไทยทุกภาคเข้ามามีส่วนร่วม ชูธงเขียวด้วยกัน เหมือนพรรคชาติไทยในอดีต โดยนายบรรหาร ศิลปอาชา เคยทำและพิสูจน์มาแล้ว โดยการแก้ไขมาตรา 211 รัฐธรรมนูญพ.ศ.2534 เพื่อตั้งสสร.ขึ้นมาร่าง จนได้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ฉบับที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุด ซึ่งในตอนนั้นก็มีคนค้านมากมาย แต่ทุกพรรคการเมืองก็ผ่านขั้นตอนนั้นมาได้” นายวราวุธ กล่าว

 

ชทพ.โดดร่วมวงแก้รธน.-มั่นใจทุกพรรคร่วมมือทำสำเร็จ

“วัฒนา”ร่วมอนาคตใหม่“ฉีกรธน.”

     ขณะที่นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความ “ผมขอฉีกด้วยคน” ลงในเฟซบุ๊กว่า "คงไม่สายไปถ้าผมจะขอแสดงความยินดีกับพรรคอนาคตใหม่ รวมทั้งทุกท่านที่ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการบริหารพรรค ผมขอเป็นแนวร่วมในอุดมการณ์ที่จะต่อสู้กับเผด็จการเพื่อคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชน เห็นด้วยกับนโยบายที่จะสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนอกจากจะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยแล้ว ยังใช้กลโกงทุกวิถีทางเพื่อให้ผ่านประชามติ ประชาชนจำนวนมากรวมทั้งตัวผมเองเคยถูกคสช. ใช้กำลังอุ้มตัวไปควบคุมในค่ายทหารและปัจจุบันยังถูกดำเนินคดีในศาลทหารเพราะการประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ในขณะที่หัวหน้าคสช. ออกมาประกาศจะจับทุกคนที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ แต่กลับส่งทหารออกไปเผยแพร่ข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญได้ จึงเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ถูกโฆษณาว่า “ปราบโกง” แต่ผ่านประชามติแบบ “โคตรโกง”

สนช.มั่นใจพ.ร.ป.ส.ส.ไม่ขัดรธน.

    ความคืบหน้ากรณีศาลรัฐธรรมนูญได้นัดแถลงด้วยวาจาและลงมติร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 30 พฤษภาคม หลังนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ส่งความเห็นของสมาชิก สนช.27 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 148 วรรค 1(1) ประกอบมาตรา 263 ว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 35(4) และ (5) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตัดสิทธิการรับราชการของผู้ไม่ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 95 วรรคสามหรือไม่ และมาตรา 92 วรรคหนึ่งกรณีการอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการและทุพพลภาพในการใช้สิทธิเลือกตั้งขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 85 หรือไม่

    ด้าน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) กล่าวว่า ยังเชื่อว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะตอนแรก สนช.เองก็จะไม่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่เมื่อไม่มีทางเลือก เพราะเกรงกันว่าอาจจะไม่เกิดความชัดเจนหรือกฎหมายอาจจะไม่สมบูรณ์ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ สนช.จึงเข้าชื่อกันเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วเชื่อว่าผลน่าจะออกมาว่าไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตามหากเกิดกรณีที่ว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญขึ้นมาก็แก้เป็นประเด็นๆ ไป เช่น การอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการและทุพพลภาพในการใช้สิทธิเลือกตั้งที่มองว่าจะต้องเป็นแบบโดยตรงและลับนั้นก็มาแก้โดยที่ผู้พิการและทุพพลภาพก็อาจจะไม่มีคนเข้าไปช่วย เป็นต้น ดังนั้นเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาและน่าจะเกิดความชัดเจนมากขึ้น การเลือกตั้งก็น่าจะเกิดขึ้นใกล้เคียงกับโรดแม็พที่วางไว้ว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562

เพื่อไทยโวประชาชนยังไว้ใจอยู่

    นายอำนวย คลังผา อดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในพื้นที่ จ.ลพบุรี ยังเป็นปกติ ไม่มีข่าวคราวการดูดส.ส.เหมือนพื้นที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ยังอยู่กันอย่างเหนียวแน่น อย่างไรก็ตามขณะนี้พรรคเพื่อไทยยังไม่ได้หารือกันว่าจะเดินหน้าพรรคอย่างไร เพราะต้องรอให้คสช.ปลดล็อก ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อใด แต่เชื่อว่าประชาชนยังให้ความเชื่อมั่นต่อพรรคเพื่อไทยอยู่ แม้ที่ผ่านมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะกระทำต่อพรรคเพื่อไทยค่อนข้างมากก็ไม่เป็นผล เพราะยิ่งประชาชนประสบปัญหาต่างๆ ในการประกอบอาชีพ เช่น น้ำมันแพง ขายข้าวไม่ได้ราคา ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงข้าวยากหมากแพงมาโดยตลอดนับตั้งแต่มีรัฐประหารก็ยิ่งทำให้ประชาชนหันมาคิดถึงการบริหารงานของพรรคเพื่อไทยที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข

ฉะประยุทธ์อย่าอ้างทำบ้านเมืองสงบ

     นายอำนวย กล่าวว่า ส่วนที่หลายคนคาดการณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้เป็นนายกฯ ต่อนั้น ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ต้องให้ประชาชนตัดสิน แม้พล.อ.ประยุทธ์จะอ้างว่าสามารถทำให้บ้านเมืองสงบได้ แต่หากย้อนไปเมื่อตอนที่กปปส.ชุมนุมขับไล่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะเห็นว่ากองทัพซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ออกมาช่วยรัฐบาลจัดการปัญหาแต่กลับเฝ้าดูสิ่งต่างๆ ในกรมกอง ปล่อยให้ตำรวจจัดการแต่ฝ่ายเดียว จึงจะเห็นว่ากองทัพซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ในตอนนั้นไม่มีความเป็นกลาง ไม่ยอมช่วยให้บ้านเมืองสงบ แล้ววันนี้จะมาอ้างว่าสามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้อย่างไร

ชทพ.โดดร่วมวงแก้รธน.-มั่นใจทุกพรรคร่วมมือทำสำเร็จ

แนะ“สมคิด”เตือน“บิ๊กตู่”อย่าเสียฟอร์ม

     นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ออกมาเตือนรัฐบาลเรื่องสถาบัน IMD ลดอันดับความสามารถแข่งขันของไทยลงมาอยู่อันดับ 30 สาเหตุหลักมาจากความไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล และขาดดุลงบประมาณมาก และได้ชี้ให้เห็นว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ยปีละ 2% กว่าเท่านั้น และถึงปีนี้จะโตได้ 4% กว่า ก็ยังต่ำสุดในอาเซียน ซึ่งเป็นข้อมูลจริง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาเตือนว่าใครบอกว่าเศรษฐกิจโต 2% จะผิดกฎหมายและจะดำเนินคดี ก็อยากให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้คำนวณตัวเลขเศรษฐกิจ 4 ปีย้อนหลังและนำมาเฉลี่ยเพื่อรายงาน พล.อ.ประยุทธ์ เพราะจากที่ได้คำนวณตามตัวเลขเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ที่แถลงทุกสิ้นปี พบว่าเศรษฐกิจปี 2557 ขยายตัว 0.7% ปี 2558 ขยายตัว 2.8% ปี 2559 ขยายตัว 3.2% และปี 2560 ขยายตัว 3.9% ซึ่งนำมารวมกัน 4 ปี จะได้ 10.6% และเมื่อนำมาหารเฉลี่ย 4 ปี จะได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับปีละ 2.65% หรือ 2% กว่าตามที่บอก และเป็นการคำนวณตามหลักสากลไม่ได้บิดเบือนแต่อย่างใด

     นายพิชัยกล่าวอีกว่า ถ้าหากบอกว่าตัวเลขนี้บิดเบือนก็น่าจะต้องบอกด้วยว่าตัวเลขการเติบโตเฉลี่ย 4 ปีที่ถูกต้องคือเท่าไหร่ อีกทั้งตนยังบอกด้วยว่าถึงปีนี้จะโต 4% กว่า แต่ก็ยังต่ำสุดในอาเซียน ดังนั้นจึงอยากให้นายสมคิดออกมายืนยันว่าการคำนวณนี้ถูกต้องหรือไม่ เพื่อสะกิดเตือนและยืนยันกับพล.อ.ประยุทธ์ อย่าปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจคลาดเคลื่อนจะเสียฟอร์มซ้ำซ้อน และเชื่อว่าถ้านายสมคิดทราบก่อนคงไม่ปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์พูดคลาดเคลื่อนแบบนี้ และการเสนอความเห็นโดยสุจริตตามหลักสากลน่าจะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญและไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งการที่ 4 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยโตเฉลี่ยเพียงปีละ 2% กว่านี้ จึงทำให้ประชาชนลำบากกันอย่างมากและยังทำให้เกิดปัญหาการว่างงานมากขึ้นและหนี้เสียเพิ่มสูงขึ้นในระบบธนาคาร ซึ่งยังเป็นปัญหาอยู่ถึงปัจจุบัน

 

 

‘นิกร’เชื่อเลื่อนคุยพรรคการเมือง

      ขณะที่นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาระบุถึงการเชิญพรรคการเมืองมาหารือและพูดคุยกับแม่น้ำ 5 สาย โดยจะต้องรอดูกฎหมายลูกที่ขณะนี้อยู่ในกระบวนการ รวมถึงพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญแจ้งผลการพิจารณา และประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนว่า มองว่ามีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะมีการเลื่อนวันนัดหารือพรรคการเมืองออกไป เพราะที่ผ่านมามีหลายพรรคการเมืองแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการพูดคุยหารือ เพื่อให้รัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน

     "ผมมองว่าการพูดคุยไม่สามารถเคาะวันเลือกตั้งที่ชัดเจนได้ เพราะกฎหมาย 2 ฉบับ คือร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และที่มาของ ส.ว.ยังไม่เสร็จ จึงน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลเลื่อนวันพูดคุยกับพรรคการเมือง ดังนั้นอยากให้แบ่งการพูดคุยออกเป็น 2 ประเด็น คือ ประเด็นการกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งหากจะเรียกพรรคการเมืองไปพูดคุยในส่วนนี้คงทำไม่ได้ เพราะร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และที่มาของส.ว.ยังไม่มีผลบังคับใช้ ในส่วนที่รัฐบาลกับพรรคการเมืองสามารถพูดคุยได้นั้น ตนมองว่าเป็นประเด็นการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลน่าจะเรียกพรรคการเมืองเข้าไปพูดคุยได้เพื่อที่จะได้เจอกันครึ่งทางเพื่อให้รัฐบาลปลดล็อกพรรคการเมืองได้ดำเนินกิจกรรมบางส่วนที่สามารถทำได้ พรรคการเมืองจะได้เตรียมกำหนดกฎเกณฑ์ นโยบายพรรคเตรียมความพร้อมไปสู่การเลือกตั้ง

ชทพ.โดดร่วมวงแก้รธน.-มั่นใจทุกพรรคร่วมมือทำสำเร็จ

ลั่นไม่ยอมให้รัฐบาลยืดเลือกตั้ง

    “หากช้าไปกว่านี้พรรคการเมืองก็จะทำอะไรลำบาก ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องคุยเลยก็ได้ซึ่งอาจจะส่งผลต่อระบบการเลือกตั้งที่อาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้ เพราะกว่าจะรอให้กฎหมายเสร็จถึงจะเรียกพรรคการเมืองมาพูดคุยนั้น ผมมองว่ากว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้หมดแล้ว” นายนิกร กล่าว

    นายนิกรยังกล่าวถึงกรณีหากมีการเลือนวันนัดคุยกับพรรคการเมืองออกไปว่า คิดว่าน่าจะไม่กระทบโรดแม็พเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐบาลกำหนดไว้ชัดเจนแล้วจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งหากเลื่อนไปก็ไม่ยอม เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้

นักวิชาการชี้เลือกตั้งสุดเข้มข้น

     วันเดียวกัน ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา กล่าวว่า มองการเลือกตั้งจากสถานการณ์ตอนนี้มีความหลากหลายมาก แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1.พรรคใหญ่ซึ่งเป็นพรรคเดิม 2.พรรคจัดตั้งใหม่ที่มีแนวโน้มสนับสนุนรัฐบาลคสช. 3.พรรคที่เกิดขึ้นใหม่พยายามชูเสนอการเมืองแบบใหม่ เป็นการเมืองเชิงนโยบาย เช่น พรรคสามัญชน พรรคอนาคตใหม่ เป็นการเมืองที่มีลักษณะใหม่ พยายามขายอุดมการณ์และนโยบาย

    “ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้ามีแนวโน้มการต่อสู้กันอย่างเข้มข้น การเมืองเก่าก็ยังอาศัยกลุ่มทุนและนักเลือกตั้งเป็นฐานเสียงในการชนะเลือกตั้ง ส่วนพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นมากับการชูคสช. มีกองทัพ มีกลไกราชการและกฎหมายหลายอย่างที่เอื้อให้ แต่ก็มีคนหนุ่มสาวชนชั้นกลางจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจการเมืองข้างต้นนี้ เพราะมองว่าไม่เคยสร้างกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยไทย จึงพยายามสร้างทางเลือกใหม่ ซึ่งการสร้างทางเลือกใหม่นั้นดูดีในเชิงอุดมคติ แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นต้องใช้เวลาในการขายความคิดชุดนี้ออกไป แต่เชื่อว่ามีกลุ่มคนชั้นกลางและกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ไม่พอใจการเมืองแบบเดิมจะให้การสนับสนุน”

หวังทำ‘เพื่อไทย’เป็นฝ่ายค้าน

     เมื่อถามว่ากลุ่มพรรคที่สนับสนุนคสช.จะมีโอกาสได้ที่นั่งในสภาแค่ไหน ผศ.ดร.โอฬาร กล่าวว่า มีการวางยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่สลับซับซ้อนพอสมควร เป็นยุทธศาสตร์แบบดาวร้อยดวงรวมกันสร้างจักรวาล เชื่อว่ามีพรรคจำนวนหนึ่งที่คสช.ดีลกันเรียบร้อยแล้ว ทำหน้าที่ต่อสู้ในสนามการเลือกตั้งและสุดท้ายจะมาเสนอคนที่คสช.อยากให้เป็น กับพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดท้ายต้องเข้าร่วมรัฐบาล เป็นยุทธศาสตร์ที่พรรคการเมืองเดิมกับกลุ่มคสช.ต้องทำให้เพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านให้ได้ เท่ากับว่าการเมืองยังสู้กันอยู่ 2 กลุ่ม พร้อมตัวแปรที่สามเป็นพรรคแนวใหม่ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีที่นั่งในสภามากแค่ไหน แต่สะท้อนว่าคนส่วนหนึ่งเริ่มไม่พอใจการเมืองแบบเก่าที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างกลุ่มชนชั้นนำเพียงไม่กี่กลุ่ม

ชทพ.โดดร่วมวงแก้รธน.-มั่นใจทุกพรรคร่วมมือทำสำเร็จ

สมชัยแย้มจ่อล้างบางอีกเยอะ

     วันเดียวกัน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการรักษากฎหมายที่เดินหน้าสู่ความขัดแย้ง ระบุเนื้อหาว่า ภาพการเข้าจับกุมพระพุทธะอิสระ ในตอนเช้าตรู่วันที่ 24 พฤษภาคม ตามมาด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในฝ่ายที่เห็นสมควรและไม่เห็นสมควรจนเกิดกระแสตีกลับขนาดนายกรัฐมนตรีต้องออกมาเอ่ยปากขอโทษผ่านสื่อ คงไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกว่าใครถูกผิด เพียงแต่กำลังคิดต่อไปว่า เรื่องราวทำนองนี้ยังจะมีอีกหรือไม่ และใครจะเป็นรายต่อไป

     “ในช่วง 10 ปี ของความขัดแย้งทางการเมืองไทยอย่างรุนแรงที่ทั้งสองฝ่ายมุ่งเอาชนะในทางการเมืองทุกรูปแบบวิธีการ หากเอากฎหมายเป็นตัวตั้งไม่มีใครที่เกี่ยวข้องแล้วไม่ทำผิดกฎหมาย ภาพของการบุกสถานที่ประชุมผู้นำอาเซียนที่โรงแรมรอยัลคลิฟ พัทยา ของกลุ่มเสื้อแดง เป็นความผิด ภาพการรุมล้อมของคนเสื้อแดงทุบรถของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กระทรวงมหาดไทย ก็เป็นความผิด ภาพการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่บานปลาย เป็นการเผาบ้านเผาเมืองในหลายที่ก็เป็นความผิด ภาพการยึดทำเนียบ ปิดถนน ของเสื้อเหลือง และกปปส. ก็เป็นความผิด ภาพการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เป็นความผิด ภาพการขัดขวางการเลือกตั้งของกลุ่มกปปส. จนทำให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ ก็เป็นความผิด” นายสมชัย กล่าว

    นายสมชัย ระบุต่อว่า กำลังบอกว่ากฎหมายต่างๆ ที่เดินหน้าบังคับใช้กำลังเข่นฆ่าคนจำนวนมากที่ปรารถนาดีและเสียสละต่อบ้านเมือง คนที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับการชุมนุม คนที่กล้าลุกขึ้นสู้อำนาจรัฐในยุคนั้น คนที่ทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองทั้งหลายกำลังถูกกฎหมายคืบคลานกำจัดไปทีละคนสองคน หรือนี่คือเกมที่วางไว้ว่าเมื่อถึงเวลาที่ผู้ปกครองในอนาคตขึ้นครองอำนาจและกล้าทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม วันนั้นจะได้ไม่มีใครเลยสักคนที่เหลือจะมาต่อสู้คัดค้านเขาอีกแล้ว หากเป็นเช่นนี้จริง บอกได้เลยครับ กรณีพุทธะอิสระ ยังไม่ใช่กรณีสุดท้ายอย่างแน่นอน

ชทพ.โดดร่วมวงแก้รธน.-มั่นใจทุกพรรคร่วมมือทำสำเร็จ

ติดดาบกกต.คัดเลือกก.ตร.

      วันเดียวกัน นายคำนูณ สิทธิสมาน กรรมการปฏิรูปกฎหมาย ในฐานะโฆษกกรรมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ..... เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจพ.ศ.....ซึ่งมี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้มีการหารือว่าตามพ.ร.บ.ตำรวจฉบับปัจจุบัน คณะกรรมการระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมี 2 ชุด คือ คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจได้เคยมีมติตั้งแต่การประชุมครั้งแรกๆ ให้ยุบรวมเหลือเพียงชุดเดียว ล่าสุดที่ประชุมมีมติให้เรียกชื่อคณะกรรมการที่จะเหลืออยู่ชุดเดียวนี้ว่า “คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ” แต่ยังคงใช้อักษรย่อว่า “ก.ตร.” โดยองค์ประกอบของก.ตร.ใหม่จะมีทั้งสิ้น 18 คน ในจำนวนนี้จะมีก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 8 คนมาจากการเลือกโดยข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรขึ้นไป โดยเลือกจากผู้ที่เคยเป็นข้าราชการตำรวจ 5 คนและจากผู้ที่ไม่เคยเป็นข้าราชการตำรวจอีก 3 คน

     นายคำนูณ กล่าวว่า ในการเลือกนั้นที่ประชุมมีมติปฏิรูปใหญ่โดยกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้เข้ามาดำเนินการจัดให้มีการเลือกและประกาศผลการเลือกตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่ กกต.กำหนด ซึ่งอย่างน้อยในการดำเนินการดังกล่าวต้องกำหนดให้การเลือกเป็นการเลือกโดยตรงและลับ เพื่อความบริสุทธิ์ โปร่งใส และยุติธรรม นอกจากนั้นยังบัญญัติห้ามผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใดสั่งการ ข่มขู่ หรือชักจูงด้วยประการใดๆ เพื่อให้เลือกหรือมิให้เลือกผู้ใดผู้หนึ่ง ผู้บังคับบัญชาผู้ใดฝ่าฝืนให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน

ลุ้นศาลชี้ชะตาคดีคลองด่าน

       ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีทุจริตโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านว่า ในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ เวลา 09.00 น. ศาลแขวงดุสิต ซอยสีคาม ถนนนครไชยศรี ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 2 คดีฉ้อโกงซื้อที่ดินและสัญญาโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ ที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 1.กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี (NVPSKG) 2.บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง 3.นายพิษณุ ชวนะนันท์ กรรมการบริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง 4.บริษัท ประยูรวิศว์การช่าง 5.นายสังวรณ์ ลิปตพัลลภ กรรมการบริษัท ประยูรวิศว์การช่าง 6.บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) 7.นายสิโรจน์ วงศ์สิโรจน์กุล กรรมการ บริษัท สี่แสงการโยธาฯ 8.บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ฯ 9.นายนิพนธ์ โกศัยพลกุล กรรมการบริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ฯ 10.บริษัท เกตเวย์ดิเวลลอปเมนท์ฯ 11.นายรอยอิศราพร ชุตาภา กรรมการบริษัท เกตเวย์ดิเวลลอปเมนท์ฯ 12.บริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่

     13.นายชาลี ชุตาภา กรรมการบริษัท คลองด่านมารีนฯ 14.นายประพาส ตีระสงกรานต์ กรรมการบริษัท คลองด่านมารีนฯ 15.นายชยณัฐ โอสถานุเคราะห์ กรรมการบริษัท คลองด่านมารีนฯ 16.บริษัท ปาล์ม บีช ดีเวลลอปเมนท์ฯ 17.นางบุญศรี ปิ่นขยัน กรรมการบริษัท ปาล์ม บีชฯ 18.นายกว๊อกวา โอเยง สัญชาติฮ่องกง ในฐานะผู้แทนบริษัท ปาล์ม บีชฯ และ 19.นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย เป็นจำเลยที่ 1-19 ในความผิดฐานฉ้อโกงการจัดซื้อที่ดิน อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ เนื้อที่รวม 1,900 ไร่ มูลค่า 1.9 พันล้านบาท เพื่อก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน แต่ที่ดินที่จัดซื้อมานั้นเป็นของกลุ่มบริษัทพวกจำเลยที่จัดหามา ซึ่งเป็นลำคลอง ถนนสาธารณะและป่าชายเลน พร้อมฉ้อโกงสัญญาก่อสร้างมูลค่ากว่า 2.3 หมื่นล้านบาท

(ข่าวหน้า1นสพ.คมชัดลึก)

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ