ข่าว

"บิ๊กตู่"เปิดเฟซบุ๊กหวังคนไทยส่งคำแนะนำถึงมือ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"บิ๊กตู่"เตรียมเปิดเฟซบุ๊กให้คนไทยส่งข้อเสนอแนะโดยตรง "บิ๊กฉัตร"ลั่น 2 เม.ย. รู้ผลสอบโกงเงินคนจน "ป.ป.ท."ชี้ยอดผู้ถูกกล่าวหา94ราย ส่วน"ป.ป.ช."ยื้อสอบนาฬิกาหรู

    เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 29 มีนาคม ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 3 เมษายน ซึ่งจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะเปิดสายด่วนไทยนิยม ยั่งยืน เป็นช่องทางให้ประชาชนที่มีความเดือดร้อนได้สื่อสารส่งข้อเสนอแนะเข้ามา พร้อมทั้งจะเปิดช่องทางสื่อสารทางเฟซบุ๊ก เพื่อให้ประชาชนมีความใกล้ชิดกับนายกฯ สามารถส่งข้อเสนอในภาพรวมมาถึงนายกฯ ได้โดยตรง เช่น พื้นที่ใดมีการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า นายกฯ จะได้ส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ ส่วนข้อมูลอะไรที่เป็นเชิงพื้นที่ จะประสานไปยังกระทรวงมหาดไทยที่ลงพื้นที่อยู่แล้ว โดยหน่วยงานที่จะรับข้อมูลจากสายด่วนไปดำเนินการคือสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยันว่า ข้อมูลจากสายด่วนทั้งหมดจะถูกบูรณาการ ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือไม่ให้ซ้ำซ้อนกับสายด่วน 1111 ซึ่งเป็นช่องทางที่ คสช.เปิดรับเรื่องราวร้องทุกข์ทุกรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว

 

ลั่น 2 เม.ย. รู้ผลโกงเงินคนจน

     เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการทุจริตเงินคนไร้ที่พึ่ง ว่า ยังไม่ได้รับรายละเอียดการตรวจสอบ แต่ได้กำชับให้ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวภายใน 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 มีนาคมนี้ ดังนั้นในวันจันทร์ที่ 2 เมษายน พล.อ.อนันตพร ต้องมาชี้แจงรายละเอียดกับตน หากไม่เสร็จก็ต้องมีเหตุผลที่รับได้ เพราะการปราบปรามการทุจริตเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญอย่างมาก

     อย่างไรก็ดี ไม่แน่ว่าวันที่ 30 มีนาคม อาจจะมีรายละเอียดออกมา ขอให้รอฟัง โดยเบื้องต้นได้รับรายงานว่า จังหวัดที่มีมูลการทุจริตเพียงพอให้ตั้งกรรมการสอบสวนได้มีจำนวน 49 จังหวัด อีกทั้งมีหลักฐานเชื่อมโยงไปยังผู้บริหารระดับสูง แต่อยากให้ทุกคนรอผลการตรวจสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย นอกจากนี้ พล.อ.ฉัตรชัยยังเชื่อว่าการทุจริตในลักษณะนี้ย่อมทำกันเป็นขบวนการ ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ส่วนจะเชื่อมโยงไปถึงใครบ้างนั้นขอให้รอการตรวจสอบที่ชัดเจนก่อน

"บิ๊กตู่"เปิดเฟซบุ๊กหวังคนไทยส่งคำแนะนำถึงมือ

“อนันตพร”ดึงซี11ศธ.สอบ2บิ๊กพม.

     พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ เปิดเผยว่า การสืบข้อเท็จจริง นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัด พม. และนายณรงค์ คงคำ รองปลัด พม. ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินสงเคราะห์ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งมี พ.ต.ท.เธียรรัตน์ วิเชียรสรรค์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ส่งสรุปผลการสืบสวนให้พิจารณาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม โดยระบุผลรายงานเบื้องต้นพบ 2 ข้าราชการมีมูลความผิดจริง ซึ่งได้ลงนามท้ายผลสอบให้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง พร้อมทั้งมอบหมายให้นางไพรวรรณ พลวัน รักษาการปลัด พม. ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงทันทีในวันนี้

    “ผมได้โทรศัพท์ถึง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประสานทาบทามข้าราชการระดับ 11 ของกระทรวงศึกษาธิการ มาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงชุดนี้ นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการร่วมจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมประมาณ 5-6 คน โดยจะเร่งรัดคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันสงกรานต์นี้” รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าว

สรุปยอดผู้ถูกกล่าวหา 94 ราย

    ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี กรรมการ ป.ป.ท. เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ดป.ป.ท.ว่า บอร์ดป.ป.ท.ได้ลงมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนความผิดของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 8 ศูนย์ ประกอบด้วย ตรัง กระบี่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ นครพนม และชัยภูมิ นอกจากนี้ ยังตั้งอนุกรรมการไต่สวนสหกรณ์สันกำแพง จ.เชียงใหม่ นิคมสร้างตนเอง จ.บุรีรัมย์ โดยมีผู้ถูกกล่าวหา 49 คน รวมบุคคลที่ถูกกล่าวหาจากการตั้งอนุกรรมการไต่สวนความผิดแล้ว 94 คน

     อย่างไรก็ตาม ภายหลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบการทุจริตของศูนย์คนไร้ที่พึ่ง ได้มี ผอ.ศูนย์บางแห่งเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทำให้ยากต่อการสอบสวน บอร์ดป.ป.ท.จึงทำหนังสือไปยัง พม. ให้ย้ายผอ.ศูนย์จ.ตรัง, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์ ออกนอกพื้นที่ ส่วน จ.นครพนม มีผอ.โรงเรียนเข้ามาสนับสนุนการกระทำความผิดและคุกคามพยาน จึงเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการย้ายออกจากพื้นที่เช่นกัน

เสนอย้ายผอ.ศูนย์ยุ่งเหยิงพยาน

    “ขณะนี้ยังไม่มีการชี้มูลความผิด แต่การเสนอให้ย้ายออกนอกพื้นที่เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน โดยยึดตามแนวมติคณะรัฐมนตรี ที่เปิดช่องให้สามารถเสนอย้ายผู้ที่มีพฤติการณ์เบี่ยงเบนพยานหลักฐานเพื่อปกปิดความผิด ออกนอกพื้นที่ได้” พล.ต.อ.จรัมพรกล่าว

     ผู้สื่อข่าวถามถึงการตรวจสอบเส้นทางการเงินของข้าราชการระดับสูง พล.ต.อ.จรัมพร กล่าวว่า ภายหลังการตั้งอนุกรรมการไต่สวนความผิดของผอ.ศูนย์ เป็นอำนาจของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่จะเข้ามาตรวจสอบธุรกรรมการเงิน ส่วนการยึดอายัดทรัพย์เป็นอำนาจโดยตรงของปปง. ส่วนจะเชื่อมโยงไปถึงข้าราชการระดับสูงอย่างไร ขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเข้ามาตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน

    “การกระทำทุจริตทั้ง 53 จังหวัด ถือเป็นอาชญากรรมที่ทำอย่างต่อเนื่อง มีแบบแผนเดียวกัน และทำกันเป็นระบบ เชื่อว่าไม่ใช่ระดับล่างเท่านั้นที่เกี่ยวข้องเพราะการจะทำเป็นระบบได้น่าเชื่อว่าต้องมีการกำหนดเป็นแนวปฏิบัติ ที่ทำให้สามารถประกอบอาชญากรรมเหมือนๆ กันได้" พล.ต.อ.จรัมพร กล่าว

 

จี้แจงโกงเงินคนพิการใน15วัน

     วันเดียวกัน นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่มีการร้องเรียนให้ตรวจสอบการใช้เงินของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ของสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(สศศ.) ที่พบว่าปี 2557-2558 มีการเบิกจ่ายเงินกองทุนที่ผิดปกติ มีการโอนเงินอบรมพัฒนาครูต่างประเทศ จำนวน 2 รอบ วงเงินประมาณ 40 ล้านบาท ไปที่ศูนย์การศึกษาพิเศษเขตการศึกษา 5 จ.สุพรรณบุรี และมีการโอนเงินจากศูนย์การศึกษาพิเศษเขตการศึกษา 5 จ.สุพรรณบุรี เข้าบัญชี นางญาณกร จันทหาร อดีตผอ.ศูนย์ฯ เขตการศึกษา 5 จ.สุพรรณบุรี จำนวน 20 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงนางญาณกร ได้สรุปผลการสอบสวนวินัยฯ แล้วนั้น ว่า ทางคณะกรรมการสอบสวนวินัยฯ ได้เสนอให้ลงโทษวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งมีโทษคือ ปลดออก หรือ ไล่ออก โดยขณะนี้นิติกร ของ สพฐ. อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำบันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่าวหาและสรุปรายงาน (สว.3) เพื่อแจ้งไปยังผู้ถูกกล่าวหารับทราบ

     “หลังได้รับ สว.3 ผู้ถูกกล่าวหาสามารถชี้แจงได้ตามสิทธิได้ภายใน 15 วัน ซึ่งถ้าหากคำชี้แจงฟังขึ้นและมีหลักฐาน ยืนยันชัดเจนก็ถือว่าไม่มีความผิด หรือมีความผิดวินัยไม่ร้ายแรง แต่ถ้าชี้แจงแล้วฟังไม่ขึ้นก็จะต้องลงโทษวินัยอย่างร้ายแรงตามที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยฯ ได้เสนอต่อไป ซึ่งในส่วนของนางญาณกร ผมได้มีคำสั่งย้ายไปช่วยราชการที่หน่วยศึกษานิเทศก์แล้วตั้งแต่วันนี้(29 มี.ค.)เป็นต้นไป” นายบุญรักษ์ กล่าว

 

27สนช.เข้าชื่อยื่นตีความ พ.ร.ป.ส.ส.

   ที่รัฐสภา นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยว่า สมาชิกสนช. รวม 27 คน ได้ยื่นหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ใน 2 ประเด็น คือ การตัดสิทธิ์ผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่แจ้งเหตุดำรงตำแหน่งข้าราชการฝ่ายการเมือง และการลงคะแนนแทนผู้พิการ ทุพพลภาพ และคนชรา ว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังจากที่รวบรวมรายชื่อจนครบจำนวนที่รัฐธรรมนูญกำหนดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

   อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่าจะส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญวันไหน เพราะต้องรอผู้ใหญ่อีกที แต่หากจะส่งต้องอยู่ในกรอบเวลาที่ไม่เกินวันที่ 12 เมษายนนี้ โดยเชื่อว่าการยื่นตีความครั้งนี้จะไม่กระทบโรดแม็พเลือกตั้งอย่างแน่นอน ส่วนเหตุผลที่สนช.เลือกจะยื่นตีความ ทั้งที่เรื่องนี้ถึงมือของนายกฯ แล้วนั้น ว่า เพราะรับฟังจากเสียงของหลายส่วน ทั้งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และหัวหน้าพรรคการเมือง ที่เป็นห่วงว่า ใน 2 ประเด็นดังกล่าว อาจจะเป็นปัญหาภายหลังได้ และปฏิเสธว่า การกลับลำยื่นหนังสือทั้งที่ก่อนหน้าสนช. ตกลงว่าจะไม่ยื่นนั้น ไม่ใช่เพราะรับสัญญาณใดจากนายกฯ แต่อย่างใด

"บิ๊กตู่"เปิดเฟซบุ๊กหวังคนไทยส่งคำแนะนำถึงมือ

สุรชัยชี้ยื่นศาลเป็นสิทธิสมาชิกสนช.

     ที่รัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 กล่าวถึงกรณีที่สมาชิกสนช.เข้าชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ว่า ไม่ทราบรายละเอียดว่าสมาชิกพูดคุยกันอย่างไร แต่การยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องดี ถ้ายังติดใจกังวลใจว่าจะเกิดปัญหาในอนาคต ก็ยอมเสียเวลาตรงนี้เพื่อให้ตกผลึกในทุกประเด็น แม้ส่วนตัวจะเห็นว่าทั้ง 2 ประเด็นในร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่เพื่อไม่ให้เสียเวลาในวันข้างหน้าก็เป็นสิทธิของสมาชิกในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ

    ส่วนจะกระทบโรดแม็พหรือไม่นั้น คิดว่าถ้าทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน และขอความร่วมมือศาลรัฐธรรมนูญเร่งรัดพิจารณาเป็นกรณีพิเศษก็คงไม่มีผลกระทบ ขณะเดียวกัน ในส่วนของการจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็อาจกระชับเวลาไม่ถึง 150 วันได้ก็จะเป็นเรื่องดี เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในขั้นตอนนี้‬

    เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีได้ท้วงติงมาหรือไม่ จึงทำให้ สนช.กลับลำยื่นศาลตีความกฎหมาย นายสุรชัย กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่ สนช.กลับลำ แต่เป็นเรื่องของสมาชิกกลุ่มหนึ่งที่ใช้สิทธิเข้าชื่อ ซึ่งคงเห็นแล้วว่าจะช่วยแก้ปมปัญหาได้ ดีกว่าเกิดปัญหาในอนาคต เพราะไม่รู้ว่าใครจะหยิบมาเป็นข้อโต้แย้งหากไม่ประสบความสำเร็จหลังการเลือกตั้งหรือไม่

เสรีหนุนส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ

    นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กล่าวว่า การที่ สนช.ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ น่าจะเป็นการดีที่สุด ดีกว่าไปมีมือดีนำไปยื่นใกล้วันเลือกตั้งหรือระหว่างเลือกตั้ง หากไปยื่นในช่วงเวลาสุดท้ายแล้ว หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างกฎหมายดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญจะทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไป จะยิ่งยุ่งไปกันใหญ่

    “การเมืองไทยเป็นการเมืองแบบขี้แพ้ชวนตี มักสร้างประเด็นการเมืองอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะเอารัฐธรรมนูญเป็นหลักในการบริหารประเทศ แต่กลับนำมาใช้เป็นเครื่องมือไปต่อสู้ทางการเมือง ที่ผ่านมาจึงเกิดวิธีการเช่นนี้บ่อยๆ ระหว่างนี้หากมีประเด็นใดที่จะเป็นปัญหาในอนาคต ทำให้ร่างกฎหมายตกไป ก็ควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเนิ่นๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในช่วงโรดแม็พตามระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนด จะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่ายื้อการเลือกตั้ง เพราะหากมีใครมือดีไปยื่นปลายปี 2561 หรือช่วงใกล้วันเลือกตั้งจะเป็นการยื้อเวลาเลือกตั้งอย่างปฏิเสธไม่ได้” นายเสรีกล่าว

     นายวันชัย สอนศิริ อดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กล่าวว่า เชื่อว่าการที่ สนช.ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ไม่ใช่การดึงเวลาเลือกตั้ง เพราะนายกรัฐมนตรีประกาศชัดเจนแล้วว่า จะเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ดังนั้นจะส่งหรือไม่ส่งตีความจึงยังอยู่ในระยะเวลาดังกล่าว ดังนั้นเพื่อเป็นการยุติปัญหาข้อโต้เถียงให้เกิดความชัดเจน ควรให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะได้จบสิ้นกระแสความทุกเรื่อง เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งอย่างไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง ไม่เกิดอาการสะดุดอย่างที่กังวล เชื่อว่าทั้งนักการเมืองและประชาชนส่วนใหญ่ ไม่มีใครขัดข้อง พร้อมเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เท่าที่ติดตามหัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคก็สนับสนุนให้เกิดความชัดเจน

“วิรัตน์”อัดสนช.เล่นปาหี่ลากยาว

     ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวว่า ก่อนจะถึงวันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายมาแล้ว ต่างยืนยันว่าไม่มีประเด็นใดในข้อกฎหมายที่ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยเลือกตั้งส.ส.ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ต่อมา วิปสนช.ได้แถลงยืนยันต่อสังคมว่า สนช.จะไม่ส่งร่างกฎหมายนี้ให้ศาลตีความ ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่ยื่นให้ศาลวินิจฉัยได้คือ สนช. และนายกรัฐมนตรีเท่านั้น กรณีนี้สังคมฟังเป็นที่ยุติแล้วว่า สนช.ไม่มีประเด็นใดสงสัยว่าร่างกฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะทั้งปัญหาการให้บุคคลช่วยเหลือผู้พิการ ทุพพลภาพ และผู้สูงอายุ กาบัตรเลือกตั้ง และการตัดสิทธิ์บุคคลที่ไม่ใช้สิทธิ์เลือกตั้งไม่ให้เป็นข้าราชการ ก็มีการหารือในชั้นกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายแล้ว โดยมีมติเกือบเอกฉันท์ยืนยันว่า ไม่ยื่นตีความ แต่วันนี้กลับกลืนน้ำลายตัวเองมากลับลำในมติและการกระทำของตัวเอง เหมือนเล่นปาหี่

     “สังคมจึงไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นได้นอกจากคิดว่าเป็นเกมยื้อการเลือกตั้งส.ส. ของรัฐบาลและผู้มีอำนาจ สิ่งนี้จะยิ่งทำให้สังคมลดความเชื่อถือต่อรัฐบาลคสช. โดยเฉพาะเครดิตในตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. รวมถึงสนช.จะถูกสังคมตั้งคำถามในพฤติกรรมกลับไปกลับมา สร้างความสับสน จะยิ่งทำให้สังคมไทยขาดที่พึ่งที่หวัง ในที่สุดจะมีกลุ่มคนออกมาเรียกร้องในรูปแบบต่างๆเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น สวนทางกับจำนวนคนที่เคยสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ก็จะลดน้อยถอยลง ดังนั้น ขอให้สนช.และนายกฯ ตระหนักข้อนี้ไว้ด้วย ซึ่งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เร่งรัดให้มีการเลือกตั้ง แต่ขอให้รัฐบาล และคสช.เร่งแก้วิกฤติปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ค่าครองชีพของชาวบ้านและเกษตรกรเป็นสำคัญกว่า” นายวิรัตน์ กล่าว

“บิ๊กป้อม” ขอศาลตีความเร็วๆ

     ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี สนช.เตรียมยื่นร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนมีหลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบโรดแม็พว่า ยืนยันว่าการเลือกตั้งยังเป็นไปตามกรอบเดือนกุมภาพันธ์ 2562 และย้ำว่าไม่มีการเลื่อนเลือกตั้ง ทั้งนี้ ต้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายทั้งสองฉบับให้เร็วๆ

เมื่อถามว่าความตั้งใจของรัฐบาลจะให้เลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 แต่เมื่อเกิดเงื่อนไขทางกฎหมาย ทำให้ยากว่าจะเป็นไปตามโรดแม็พ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็บอกว่าไม่เลื่อน สนช.ก็ต้องส่งกฎหมายทั้งสองฉบับให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งก็อยากให้ตีความให้เร็วหน่อย แค่นั้นก็จบ”

แย้มรอผ่านพ้นเดือนมิ.ย.

     ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองเข้าประชุมหารือกับกกต. เรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมือง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยบอกไว้แล้วว่าการยกเลิกคำสั่ง คสช.นั้น ต้องมีแน่นอน แต่ตอนนี้ต้องรอให้พรรคการเมืองใหม่ดำเนินการตั้งพรรคให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้ทุกพรรคการเมืองเดินไปพร้อมกัน ในเดือนมิถุนายนนี้

เมื่อถามอีกว่า การปลดล็อกให้พรรคการเมืองต้องมีเงื่อนไข เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คิดว่าไม่เห็นมีอะไรที่พรรคการเมืองขัดแย้งกัน มีแต่สื่อแหละที่ขัดแย้ง

ย้ำชัดไม่แก้คำสั่ง53/2560

     ส่วนพรรคการเมือง และ กกต.ขอให้ คสช.แก้ไขคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ที่เกี่ยวกับการยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขคำสั่งดังกล่าว หากจะให้แก้ขอให้กกต.ทำเรื่องมา

     พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะหัวหน้าคสช. สั่งให้ฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งว่า นายกฯ เพิ่งสั่งการเมื่อวาน (28 มี.ค.) ขณะนี้เรากำลังดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ เราทราบดีว่ากลุ่มคนอยากเลือกตั้งเป็นกลุ่มเดิมๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหว มีพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองที่ต้าน คสช.อยู่เบื้องหลัง ซึ่งพวกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเราเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นพวกใคร แต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน ซึ่งจะเชื่อมโยงกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่นั้น ไม่ทราบ

"บิ๊กตู่"เปิดเฟซบุ๊กหวังคนไทยส่งคำแนะนำถึงมือ

“ป.ป.ช.” ยื้อสอบนาฬิกาหรูส่อยาว

     เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งพิจารณาผลการรายงานเบื้องต้นของคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีการครอบครองแหวนเพชรและนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร ว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ไม่ได้เข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ จากการสรุปรายงานเรื่องดังกล่าว ทางสำนักงาน ป.ป.ช.ได้ให้ พล.อ.ประวิตรชี้แจงที่มาของทรัพย์สินแล้ว 4 ครั้ง โดยข้อมูลนาฬิกาหรู พล.อ.ประวิตร แจ้งว่ายืมจากเพื่อนมา จากนั้น ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบความมีอยู่จริงของนาฬิกาทั้งหมด พบว่ามีนาฬิกาดังกล่าวอยู่จริง แต่ยังขาดรายละเอียดของที่มาซึ่งยังไม่ครบถ้วน อีกทั้ง นาฬิกาเหล่านี้จะมีหมายเลขประจำเครื่อง หรือซีเรียลนัมเบอร์ จึงมีความจำเป็นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องให้สำนักตรวจสอบทรัพย์สิน ซึ่งรับผิดชอบเรื่องนี้ ไปตรวจสอบว่า ผู้ครอบครองนาฬิกาเหล่านี้ เป็นเจ้าของที่แท้จริงหรือไม่ และจากนี้ยังจะต้องสอบสวนพยานบุคคลและบริษัทเอกชนที่จำหน่ายนาฬิกาเพิ่มเติมด้วย

     เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ จึงมีมติให้สำนักงาน ป.ป.ช.เร่งรัด ตรวจสอบเพื่อยืนยันข้อมูลให้สิ้นกระแสความโดยเร็ว ก่อนสรุปข้อเท็จจริงเพื่อเสนอที่ประชุมอีกครั้ง วันนี้คณะทำงานฯ ได้รายงานผลการดำเนินงาน เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจประชาชน ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ต้องการทราบข้อมูล ว่าได้เรื่องถึงไหนแล้ว ดังนั้น ทางสำนักงาน ป.ป.ช.ก็ต้องรายงานผลการดำเนินการทั้งหมดให้ทราบ และให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ช่วยพิจารณาแนะนำแนวทาง จึงให้ไปรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนก่อน ตามระเบียบไม่ได้กำหนดว่าเรื่องนี้จะดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อใด แต่จากพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง เชื่อว่าจะต้องตรวจสอบอีกไม่มาก ตอนนี้เราถามบริษัทไปแล้ว 13 แห่ง แต่ตอบกลับเพียง 3 แห่ง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ ป.ป.ช.ต้องการ และต้องสอบพยานบุคคลใหม่อีก 2 ราย คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน

เผยแจงที่มายืมเพื่อนคนเดียว

     เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร ชี้แจงว่านาฬิกาทั้งหมดเป็นของเพื่อนคนเดียวหรือหลายคน นายวรวิทย์ กล่าวว่า คนเดียวทั้ง 25 เรือน ทั้ง 25 เรือนที่ปรากฏตามสื่อนั้น มีซ้ำกัน 3 เรือน ส่วนเพื่อนที่ พล.อ.ประวิตร ยืมนาฬิกามานั้น จะยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว สื่อมวลชนก็รู้ๆ กันอยู่ และหากเสียชีวิตจริงจะต้องเชิญญาติมาให้ข้อมูลหรือไม่ คิดว่าจะต้องเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องหรือครอบครองนาฬิกามาให้ข้อมูลทั้งหมด โดยคณะทำงานฯ ได้เชิญมาสอบแล้ว

ยังไม่จำเป็นต้องเรียกประวิตรสอบ

     ส่วน ป.ป.ช.จำเป็นต้องเชิญ พล.อ.ประวิตร มาชี้แจงด้วยตัวเองหรือไม่ นายวรวิทย์ กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่พิจารณาในประเด็นนี้ แต่ให้คณะทำงานฯ ไปรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนก่อน ต่อข้อถามว่า ที่เคยแถลงว่าถ้าเป็นนาฬิกาเพื่อน ก็ไม่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช. ยังเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ต้องรอให้ได้ข้อยุติก่อน จากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะเป็นผู้วินิจฉัยประกอบข้อกฎหมาย

แหวนเพชรจบไม่ต้องสืบต่อ

    ส่วนการครอบครองแหวนเพชร นายวรวิทย์ กล่าวว่า การตรวจสอบแหวนเพชร พล.อ.ประวิตร ได้ชี้แจงว่า แหวนเพชรเป็นของบิดา ที่มารดาเก็บไว้ ต่อมาได้มอบให้ พล.อ.ประวิตร

    มีรายงานว่าประเด็นแหวนเพชรนั้น ได้ข้อยุติแล้วว่าเป็นแหวนที่มีมูลค่าไม่ถึง 2 แสนบาท จึงไม่จำเป็นต้องแจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช.

"บิ๊กตู่"เปิดเฟซบุ๊กหวังคนไทยส่งคำแนะนำถึงมือ

 

“สมคิด” อุบรับนัดกินข้าวสุชาติ

    ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่มีกระแสข่าวว่านายสุชาติ ตันเจริญ แกนนำกลุ่มบ้านริมน้ำ นัดอดีตส.ส.ในกลุ่มและอดีตนักการเมือง รับประทานอาหารกลางวันที่บ้านริมน้ำ ในวันที่ 1 เมษายนนี้ โดยจะเชิญนายสมคิดด้วย ว่า “ก็เพิ่งรู้จากข่าว”

    ผู้สื่อข่าวถามว่าได้พูดคุยกับผู้ที่จะมาเชิญไปกินข้าวแล้วหรือยัง นายสมคิด กล่าวว่า ยังไม่มีใครมาเชิญ ส่วนที่ถามว่ายังสนิทสนมกันดีกับนายสุชาติอยู่หรือไม่นั้น รู้จักกันตั้งแต่อยู่ที่พรรคไทยรักไทย ส่วนจะเดินทางไปตามคำเชิญหรือไม่นั้น ถ้าสื่อรู้อะไรให้มาบอกด้วย

 

ยกฟ้อง! ‘ทอม ดันดี’ คดี 112

     วันเดียวกัน มีรายงานว่า ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีดำ อ.47/61 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ฟ้องนายธานัท ธนวัชรนนท์ หรือ ทอม ดันดี อดีตนักร้องชื่อดัง แนวร่วมนปช. เป็นจำเลยฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา 112 โดยปัจจุบัน นายธานัท ถูกคุมขังในเรือนจำจากการถูกพิพากษาจำคุก 7 ปี 6 เดือน ในคดีหมิ่นสถาบันสำนวนก่อนหน้า (อ.3475/2558) ที่ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2559 ต่อมาเวลา 13.55 น. ศาลพิพากษาว่า ข้อความยังไม่ชัดเจนเพียงพอว่าจำเลยหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แม้จำเลยรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ จึงให้พิพากษายกฟ้อง

      เช่นเดียวกันที่ศาลจังหวัดภูเขียว มีคำพิพากษายกฟ้อง นายจตุภัทร บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายวศิน พรหมณี นักศึกษาคณะวิศวกรรมธรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในคดีฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 61 วรรคสอง จากการแจกใบปลิวโหวตโนก่อนการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ แจกเอกสาร 7 เหตุผลไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่ตลาดภูเขียว โดยศาลให้เหตุผลว่า เอกสารไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เป็นการแสดงความคิดเห็น

"บิ๊กตู่"เปิดเฟซบุ๊กหวังคนไทยส่งคำแนะนำถึงมือ

เลขาฯ สภานำทีมแจงงบไอซีที

     เมื่อ‪เวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร น.ส.พรรษมนต์ ไทยวัฒนานุกูล รองเลขาธิการ และนายพีระ นาควิมล ผู้อำนวยการโครงการก่อสร้าง ร่วมกันแถลงข่าวถึงโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดย น.ส.พรรษมนต์ กล่าว่า ผู้ชนะการออกแบบ(กลุ่มกิจการร่วมค้าสงบ 1051) ได้ออกแบบระบบไอทีพื้นฐานของอาคารไว้ เช่น เรื่อง ท่อสาย ระบบ สวิตซ์ แต่ไม่รวมแอพพลิเคชั่น ที่หมายถึงระบบการลงคะแนน การนับคะแนนในที่ประชุม มูลค่า 3,000 ล้านบาท ถามว่า สามารถทำตามที่ออกแบบไว้ได้หรือไม่ ตอบว่า ทำได้ แต่ใช้อาคารไม่ได้ เพราะไม่มีระบบรองรับการประชุม เกี่ยวกับแอพพลิเคชั่น ทั้งระบบ data center NOC และ SOC

     น.ส.พรรษมนต์ กล่าวว่า จึงเป็นที่มาให้เราจ้างบริษัท เมอร์ลิน โซลูชั่น มาทบทวนแบบที่ สงบ 1051 ออกแบบไว้ ทำให้จากระบบอนาล็อกเป็นระบบดิจิทัล เช่น การเพิ่มเติมจุดกระจายสัญญาณ กล้องวงจรปิด วางระบบรักษาความปลอดภัยด้านไอที ใช้ระบบตรวจสอบลายนิ้วมือก่อนลงคะแนน เพื่อแก้ปัญหาที่ผ่านมา จอในห้องประชุมแสดงผลระดับ 4k รวมงบไอทีที่เพิ่มขึ้นมาคือ 6,400 ล้านบาท เพื่อมุ่งสู่รัฐสภาในระบบดิจิทัล ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ยืนยันว่า ราคาจะยึดตามสเปกของกระทรวงดีอี ยกเว้นแต่พวกสมรรถนะสูง เช่น ห้อง data center NOC และ SOC ดังนั้นเรื่องแบบไม่ใช่ความผิดของ สงบ 1051 เนื่องจากเขามองระบบไอทีในขณะนั้น ซึ่งระบุให้ทางสำนักงานไปหาหมวดระบบไอทีและโสตเพิ่มเติมทีหลังอีก 12 รายการ

ปูดอีกสภาใหม่ใช้ไฟเท่า 2 อำเภอ

     ด้านนายพีระ กล่าวว่า การต่อสัญญา บริษัท ซิโน-ไทย ไม่ได้อยากขยาย เพราะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกอย่างในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 1 ล้านบาท มันเป็นการต่อสัญญาทั้งน้ำตา เพราะทำงานไม่ได้แต่มีค่าใช้จ่ายทุกวัน รวมเวลาที่ขยาย 1,400 วัน ก็ 1,400 ล้านบาท ด้านส่วนราชการเองก็ต้องเสียเงินค่าน้ำค่าไฟให้สำนักงานแต่ละที่รวม 10 ล้านบาทต่อเดือน การต่อสัญญาจึงไม่เกิดผลดีทั้งต่อภาครัฐและเอกชน ส่วนจะดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหาย จากฝ่ายการเมืองฐานหมิ่นประมาทหรือไม่นั้น เมื่อไรก็ตามที่เข้าเจตนาพิเศษคือ สร้างความเสียหาย หรือก่อให้เกิดความเกลียดชัง บริษัทคงไม่รีรอ

     "สัญญา 900 วัน กับพื้นที่ก่อสร้างเกือบ 5 แสนตารางเมตร เป็นเรื่องที่ท้าทายหลักวิศวกรมาก เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดปัญหาที่สร้างความเสียหาย จนถึงขั้นต้องเตรียมการสำรองการขาดทุนไว้ 3,000 ล้านบาท ส่วนจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานหรือไม่นั้น ต้องรอดูอีกครั้ง หากนับถึงการขยายเวลาครั้งที่ 2 เราแจ้งยอดให้สำนักงานไปที่ 1,673 ล้านบาท ส่วนการต่อสัญญาครั้งที่ 3 จะเรียกอีกเท่าไรจะสรุปได้ในเดือนเมษายนนี้ เมื่ออาคารก่อสร้างแล้วเสร็จก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่กังวลคือ การทดสอบไฟที่อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งคิดเป็นการใช้ไฟ 2 อำเภอพร้อมกัน โดยค่าขอใช้ไฟฟ้าชั่วคราวเพื่อทดลองจะตกอยู่ที่ 30 ล้านบาท” นายพีระกล่าว

(ข่าวน.1หนังสือพิมพ์คมชัดลึก)

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ