ปาร์คกึนเฮ ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย

 

                        เมื่อครั้งชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้แบบสวนกระแสผลหยั่งเสียงเมื่อ 5 ปีก่อน โลกภายนอกแซ่ซ้องว่าเอเชียตะวันออกได้ผู้นำหญิงคนแรกแล้ว แต่ในบ้าน ไม่เคยคาดหวังสูงว่าบทบาทของปาร์ค กึนเฮ จะช่วยยกระดับสตรีและความเท่าเทียมทางเพศ แต่มักตั้งคำถามว่าผู้นำหญิงจะรับมืออย่างไรกับฝ่ายตรงข้าม จุดอ่อนในฐานะลูกสาวประธานาธิบดีที่ผูกขาดอำนาจปกครองประเทศแบบเผด็จการ 18 ปี และคำถามเกี่ยวกับชีวิตโดดเดี่ยวของเธอหลังเผชิญกับการสูญเสียบุพการีจากการลอบสังหาร

 

                    ปาร์ค กึนเฮใช้ชีวิตวัยเยาว์ราวกับเจ้าหญิงน้อย ในชองวาแด หรือทำเนียบประธานาธิบดี นับจากบิดา นายพลปักชองฮีก่อรัฐประหารยึดอำนาจ ในปี 2494 ขณะนั้นอายุเพียง 9 ขวบ แต่บทบาทสาธารณะครั้งแรกของเธอ มาพร้อมกับดรามาและเร่งด่วนแบบไม่มีเวลาตั้งตัว นั่นคือการลอบสังหารนางยุค ยองซู มารดา 
                    การเสียชีวิตของมารดาจากกระสุนที่ฆาตกรมุ่งหมายเอาชีวิตบิดา ทำให้ น.ส.ปาร์ค กึนเฮ วัย 22 ปี ต้องละจากการเรียนที่ฝรั่งเศส ถูกเรียกตัวให้มารับบทบาทสตรีหมายเลขหนึ่งแทน และอาจกล่าวได้ว่า เป็นจุดเริ่มอีกโศกนาฏกรรมชีวิตของเธอในอีกหลายสิบปีล่วงมา เพราะช่วงเวลานั้นเองที่ ปาร์ค กึนเฮ เข้าไปใกล้ชิดกับชเว แทมิน ผู้นำกลุ่มคลั่งลัทธิที่อ้างว่าได้รับคำสั่งเสียจากมารดาผู้ล่วงลับให้มาดูแลเธอ และต่อมา ก็เริ่มมาสนิทสนมกับชเว ซุนซิล บุตรสาวของชเว แทมิน

 

“ชเวซุนซิลเกต” เรื่องอื้อฉาวแปลกประหลาด

                    หลังสูญเสียบิดาอีกคนจากลอบสังหารในปี 2522 ปาร์ค กึนเฮ ออกจากทำเนียบประธานาธิบดี แต่ยังคงสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวชเว และร่วมกันบริหารมูลนิธิการศึกษายุคยัง ที่ตั้งชื่อตามมารดาของเธอ มูลนิธินี้จุดความขัดแย้งระหว่างปัก กึนเฮ กับ จีมาน น้องชาย และกึนยอง น้องสาว ทั้งสองถึงขนาดเคยส่งจดหมายถึงโรห์ แตวู ประธานาธิบดีในขณะนั้น ขอให้ช่วยดึงพี่สาวออกมาจากชเว แทมิน อ้างว่าครอบครัวชเวกำลังหลอกใช้พี่สาว
                    ความสัมพันธ์ของเธอกับชเว แทมิน จุดข่าวลือหวือหวาตามหลอนตลอดเส้นทางการเมือง และมิตรภาพยาวนาน 40 ปีกับซุนซิล ที่ปาร์คกึนเฮพึ่งพิงและไว้ใจเพราะเธอไม่มีใครเลย  แปรเปลี่ยนเป็นเรื่องอื้อฉาวทางการเมืองเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เขย่าทุกภาคส่วน และทำให้คนประเทศแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย

 

 

ราชินีเลือกตั้ง
                    หลังออกจากทำเนียบประธานาธิบดี ปาร์ค กึนเฮ ใช้ชีวิตเงียบๆทางใต้ของกรุงโซล บ้านพักของเธอเต็มไปด้วยรูปถ่ายของบิดามารดาผู้ล่วงลับ และของที่ระลึก นักข่าวคนหนึ่งของหนังสือพิมพ์จุงอังที่เคยไปเยือนบ้านของเธอเมื่อราว 10 ปีก่อนกล่าวว่า บ้านของอดีตผู้นำหญิงเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ของปักชองฮี "เหมือนกับเวลาของเธอหยุดยิ่งในคริสต์ทศวรรษ 1970 เธอชอบพูดคุยกับกับพ่อ" 
                    18 ปีต่อมา เธอตัดสินใจมาเล่นการเมือง โดยลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคแกรนด์ เนชั่นแนล (จีเอ็นพี-เปลี่ยนชื่อเป็น แซนูรี และล่าสุด ลิเบอร์ตี โคเรีย ) และชนะเลือกตั้งเข้าสภาในปี 2541
                    ในฐานะนักการเมือง เธอได้รับการสนับสนุนแข็งแกร่งจากบรรดาชาวเกาหลีที่นิยมในตัวของบิดา ผู้พลิกฟื้นประเทศที่บอบช้ำจากสงคราม เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงทางเศรษฐกิจในชั่วอายุคนเดียว จนได้ฉายา ปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำฮั่น การโหยหาอดีตและความหวังจะได้เห็นความมหัศจรรย์อีกครั้งหลังวิกฤติเศรษฐกิจการเงินเอเชีย 2540 มีส่วนส่งปาร์ค กึนเฮ ขึ้นเป็นแกนนำพรรคในเวลาไม่นาน 
                    ช่วงเลือกตั้งทั่วไปในปี 2547 เธอตัดสินใจย้ายที่ทำการพรรคมาตั้งเป็นเต็นท์ชั่วคราวแทน เป็นความเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์เพื่อขอโทษกรณีอื้อฉาวระดมทุนผิดกฎหมาย ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นการตอกตะปูปิดฝาโลงของพรรคจีเอ็นพีแล้ว แต่ปาร์ค กึนเฮ กลับนำพาพรรคกวาดที่นั่งในสภา 121 จาก 299 เสียง เหนือความคาดหมาย จนทำให้เธอได้รับฉายา “ราชินีเลือกตั้ง”

 

 

ขึ้นสูงสุดและตกอับ
                    ในเดือนสิงหาคม 2555 ปาร์ค กึนเฮ เป็นตัวแทนพรรคที่เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคแซนูรี สู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี ตลอดการหาเสียง เธอเจอกับการตั้งคำถามไม่รู้จบจากคู่แข่งถึงอดีตของเธอ เรื่องความสัมพันธ์ปริศนากับชเว แทมิน ที่เสียชีวิตแล้วในเวลานั้น โดยนอกเหนือจากข่าวลือเชิงชู้สาวแล้ว ชเว แทมิน ยังถูกกล่าวหาว่ากอบโกยความร่ำรวยมาเป็นเวลานานโดยอาศัยสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลผู้นำประเทศ แต่ปัก กึนเฮ ก็สามารถเอาชนะผู้แข่งจากค่ายเสรีนิยมอย่างมูน แจอิน หลังขับเคี่ยวกันอย่างสูสี กลายเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ เข้ารับตำแหน่งเมื่อกุมภาพันธ์ 2556 กลับเข้าชองวาแดอีกครั้ง 
                    หนึ่งในจุดตกต่ำของการเป็นผู้นำประเทศคือโศกนาฏกรรมเรือเซวอลล่ม เมื่อ 16 เมษายน 2557 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหาย 304 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังเดินทางไปทัศนศึกษา ซึ่งเผยให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤติ และความสัมพันธ์แบบเอื้อประโยชน์ระหว่างภาครัฐกับธุรกิจ 
                    การที่ประธานาธิบดีหญิงหายหน้าไปจากสาธารณะหลายชั่วโมงหลังเกิดเหตุอย่างอธิบายไม่ได้ ที่ต่อมาเรียกกันว่า “7 ชั่วโมงที่หายไป” ทำให้เกิดข่าวลือเสียหายต่างๆ นานา เช่น เธอไปผ่าตัดศัลยกรรมอยู่ และเป็นหนึ่งในข้อหาที่ใช้ในการถอดถอนเธอ
                    ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ยุคของปาร์ค กึนเฮ นับได้ว่าเป็นช่วงที่ความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ ญี่ปุ่นและจีน เสื่อมทรามลง
                    เกาหลีเหนือเดินหน้าทดลองนิวเคลียร์และขีปนาวุธไม่หยุดหย่อน และรัฐบาลโซลสั่งปิดนิคมอุตสาหกรรมแกซอง เป็นมาตรการลงโทษท่ามกลางเสียงวิจารณ์ ส่วนความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น หลังจากมีท่าทีแข็งกร้าวตลอดมาในประเด็นทาสกามารมณ์ทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่จู่ๆ รัฐบาลโซลบรรลุข้อตกลงแบบกะทันหันปิดฉากเจรจา 20 เดือน ได้ข้อตกลงชดเชยอดีตทาสกามารมณ์ที่ไม่ได้สร้างความพอใจแก่เหยื่อและสังคม จนกลายเป็นกรณีพิพาทการทูตในเวลาต่อมา ส่วนกับรัฐบาลปักกิ่ง เวลานี้ก็กำลังตอบโต้ทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงต่อบริษัทเกาหลีใต้ เพื่อประท้วงการตัดสินใจให้สหรัฐติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธพิกัดสูงในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งจีนคัดค้านหัวชนฝา
                    นอกจากนี้ ยังมีการตัดสินใจที่จุดเสียงวิจารณ์อย่างมาก รวมถึงการสั่งยุบพรรคซ้ายจัด ในปี 2557 การรับมือกับไวรัสเมอร์ส ในปี 2558 และการรื้อฟื้นตำราเรียนประวัติศาสตร์แบบรัฐกำหนด

 

                    ปาร์ค กึนเฮ ไม่เคยแต่งงาน ไม่มีครอบครัวของตัวเอง เป็นจุดแข็งที่ทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงในประเทศที่เบื่อหน่ายผู้นำเผชิญเรื่องอื้อฉาวทุจริตจากวงศาคณาญาติ หันไปเลือกผู้สมัครหญิงที่พูดเสมอว่า “ดิฉันแต่งงานกับสาธารณรัฐเกาหลี ไม่มีลูก ชาวเกาหลีใต้คือครอบครัว” แต่ผู้นำหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ กลับสวนกระแสคาดหวังของประชาชนที่คิดว่าจะได้ผู้นำมือสะอาดที่สุด กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งด้วยข้อหาทุจริต