บันเทิง

พูดคุยกับ 'ปั้นจั่น'

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดอีกหนึ่งหน้าต่างใจของ "ปั้นจั่น" ปรมะ ในวันที่ล้มลุกและคลุกคลาน 

         บันเทิง คมชัดลึก -  เรียกว่าเป็นนักแสดงที่อยู่ในวงการมายาวนานแถมมีผลงานหนังและละครไม่ขาดสำหรับ “ปั้นจั่น” ปรมะ อิ่มอโนทัย ล่าสุดกำลังมีกระแสดราม่าร้อนแรงเหตุเพราะวิจารณ์การเมืองผ่านโซเชียล งานนี้ส่งผลกระทบโดยตรงถึงภาพยนตร์เรื่อง “รัก 2  ปียินดีคืนเงิน” ผลงานล่าสุดของนักแสดงหนุ่ม ซึ่งชาวเน็ตบางส่วนแสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือดว่าจะไม่ติดตามผลงานของปั้นจั่น และนำเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า “บันเทิง คม ชัด ลึก” มีโอกาสได้พูดคุยกับนักแสดงหนุ่มถึงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งอาจจะทำให้ทุกคนรู้จักพระเอกหนุ่มคนนี้ดีขึ้น 

 

พูดคุยกับ 'ปั้นจั่น'

***ภาพยนตร์เรื่องล่าสุด***

@@ กับผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุด

         เรื่องนี้เป็นโรแมนติกคอมเมดี้ เป็นภาพยนตร์แมสเรื่องแรกที่ผมได้เล่น ปกติเล่นแต่อินดี้ เรื่องนี้ได้ ร่วมงานกับ เอสเธอร์ (เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา) เขาก็เป็นคนไนซ์ เฟรนด์ลี่ดี แต่เราคุยกันน้อยเพราะเขาเป็นคนเงียบๆ แต่ผมก็มีวิธีละลายพฤติกรรม คือถ้าเขาไม่เดินมาหาเรา เราก็จะเลือกเดินไปหาเขาก่อน  ซึ่งก็จับจุดเขาได้จุดหนึ่ง คือถ้าเราเป็นฟิลเพื่อน คือพูดห้าวๆ ใส่ พูดคำหยาบใส่ เล่าเรื่องทะลึ่งให้ฟัง นางชอบ คือดูลุคไม่ให้แต่ใจรักเลย (หัวเราะ) ก็เลยรู้ละว่าเดี๋ยวเข้าทางนี้เลยละกัน สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดคือการที่ผมสนิทกับผู้ร่วมงานและมีความสุขในการทำงาน ผมว่าพอเรารู้สึกมีความสุขกับการทำงาน คนรอบข้างผมก็จะรู้สึกสบาย การทำงานก็จะออกมาดี ส่วนเรื่องนอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นเรื่องของผู้กำกับ ผมไม่เคยไปติชมการแสดงของคนอื่น ในฐานะที่ผมเป็นนักแสดงผมว่ามันเป็นมารยาท และเราก็ต้องโฟกัสในการทำงานของตัวเอง และถ้าจะช่วยก็คงเป็นเรื่องการรีแล็กซ์มากกว่า 

 

พูดคุยกับ 'ปั้นจั่น' (รอบสื่อภาพยนตร์)

 

@@ คาดหวังกับหนังเรื่องนี้มากแค่ไหน

         ถามว่าคาดหวังไหม ในฐานะนักแสดง ผมคาดหวังว่าคนดูจะมีความสุขกลับไป คือเราไม่มีผลอยู่แล้วว่าหนังจะขายได้ไม่ได้ เอาตรงๆ ว่าเรารับเงินเรียบร้อยแล้ว แต่ในแง่ของธุรกิจภาพยนตร์ เขาก็หวังว่าคนดูจะต้องตอบโจทย์ เข้าไปดูหนังเยอะๆ และได้กำไรกลับไปบ้าง ถ้าถามเรื่องความคาดหวังมันก็เป็นหนังไทยอารมณ์ดีเรื่องหนึ่งที่จะทำให้วงการภาพยนตร์ขับเคลื่อนไป เพราะว่าเมื่อมันถูกพูดถึงไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็ทำให้วงการหนังไทยตื่นตัว ผมพยายามมองภาพรวมภาพกว้าง เพราะอยากให้ภาพยนตร์กลับมาบูมอีกครั้ง และมีภาพยนตร์ไทยให้แฟนๆ ได้เสพหนังไทยมากขึ้นในแขนงต่างๆ  จริงๆ ผมคาดหวังที่หนังเรื่องนี้จะไปฉายต่างประเทศมากกว่าฉายในไทยด้วยซ้ำ เพราะผมรู้สึกว่าถ้าเราได้ไปฉายตามประเทศเพื่อนบ้านเขาจะตื่นเต้นมากกว่า กับภาพยนตร์บ้านเราหลายคนอาจจะพูดว่าเลิกดูภาพยนตร์ไทยนานแล้ว ดูแต่ภาพยนตร์ฝรั่ง ซึ่งก็พูดยาก เพราะถ้าเราไม่ได้ชอบนักแสดงจริงๆ หรือผู้กำกับคนนั้น เขาก็คงไม่เข้าไปดู ถ้าถามความรู้สึกของผมเรื่องคนไทยไม่ดูหนังไทย ผมว่าในบ้านเราคุยกันเรื่องนี้มันลึกนะ คือก่อนหน้านี้เราเคยนำหน้าหนังเกาหลีในสมัยก่อน แต่วันนี้เราตามหลังเขาเยอะมาก อาจจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมรวมถึงการเสพที่ไม่หลากหลาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นตลก รัก เศร้า หนังผี แต่อะไรที่เกี่ยวกับการเสียดสีทางด้านการเมืองหรือประวัติศาสตร์ทางด้านสงคราม ประวัติศาตร์การเมืองบ้านเรา เราไม่สามารถทำได้เพราะมันมีข้อห้ามเยอะ มันละเอียดอ่อนต่อความรู้สึก และไม่ตอบโจทย์คนยุคนี้ที่ดูหนังหลายประเภทมาก และต้นทุนการผลิตสูงแต่รายได้น้อยก็ไม่คุ้มที่จะผลิต หนังเกาหลีเกิดได้เพราะรัฐบาลซัพพอร์ตอย่างจริงจังมีงบประมาณให้ ซึ่งบ้านเราก็ยังไม่มีตรงนั้น ทั้งๆ ที่ศักยภาพคนในบ้านเราไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ทั้งทีมผู้สร้าง ทีมอะไรก็ตามมีฝีมือมากๆ หลายคนก็ไปคว้ารางวัลต่างๆ กลับมา แต่ตอนนี้กลายเป็นเราดูหนังไทย เดินออกมาจากโรงแล้วไม่กล้าไปบอกคนอื่นเพราะมันดูหน้าอาย ผมมองว่าเป็นความคิดที่ประหลาด

 

พูดคุยกับ 'ปั้นจั่น'

 

@@ มองวงการหนังไทยไว้อย่างไร 

          วงการหนังไทยเปลี่ยนไปจากอดีต ผมมองว่าแสงสว่างมันมีอยู่ในหนังอินดี้ ในหนังเฉพาะทาง ในหนังเฉพาะกลุ่ม เพราะมันมีความหลากหลายให้เลือกเสพ แต่ในหนังแมสผมรู้สึกว่ามันตันมานานแล้ว คือถ้าผู้สร้างยังใช้พระนางที่เป็นแม่เหล็กเพื่อเรียกคนดูเข้ามาดู มันไม่ได้ตอบโจทย์ว่าหนังจะดีหรือไม่ดี ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ บางครั้งผมก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อมากที่จะเห็นคู่พระนางคู่เดิมๆ มาเล่นด้วยกัน ถ้าเราสังเกตในงานประกาศรางวัลหรือเวทีต่างๆ  ส่วนใหญ่นักแสดงหน้าใหม่จะได้รางวัลเสมอ เพราะว่ามันเรียลกว่า มันสด มันใหม่กว่า นักแสดงเหล่านั้นอาจจะไม่ได้แสดงเก่ง แต่ด้วยความใหม่ของเขา คือหนังไทยมันเดาได้ว่าจะจบอย่างไร หนังตลกก็ยังเป็นตลกแบบเดิมซึ่งไม่ต่างจากตลกในรายการทีวี เลยไม่ต่างกันกับการมาดูโรงใหญ่ อาจจะต้องซับซ้อนและให้อะไรกับคนดูมากกว่านี้ ผมว่าไม่เกี่ยวกับต้นทุนหรือการผลิต แต่เกี่ยวกับการไม่ได้ให้อะไรกับคนดู มันให้อะไรเดิมๆ เรื่องราคาค่าตั๋วผมว่าไม่มีส่วนหรอกถ้าภาพยนตร์น่าดู เอาเป็นว่าถ้าแอดเวนเจอร์เพิ่มราคาอีกร้อยบาทคนก็ดูเพราะเขาอยากดู อย่างหนังไทยถ้าผมอยากจะดูหนังเกี่ยวกับการเมือง ถ้าทำเกี่ยวกับการเมืองเสียดสีหรือการเมืองพูดตรงๆ ถามตรงๆ เล่นตรงๆ ผมก็อยากดูนะ แต่ไม่มีผลิตไง มันทำไม่ได้ ข้อห้ามเยอะปัจจัยหลายอย่างถูกกระทบ และเรื่องแบบนี้บ้านเรามันก็เซนซิทีฟ

 

พูดคุยกับ 'ปั้นจั่น'

*** วงการบันเทิงวันนี้ของ “ปั้นจั่น” ***

@@ มองอนาคตในวงการนี้ไว้อย่างไร

          อยากทำไปเรื่อยๆ เพราะเป็นสิ่งที่เราทำได้ดี วงการนี้ให้ทุกอย่างกับผม ให้เงิน งาน ชื่อเสียง คอนเนกชั่นที่วางอนาคตไว้คือเราไม่อยากทำงานเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ตลอดเวลา อยากทำงานเต็มที่แค่อายุ 40 หลังจากนั้นก็คงจะมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน และทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ งานแสดงก็ยังทำเพราะเป็นงานที่เรารักที่สุด แต่อาจจะรับน้อยลงและเลือกงานมากขึ้น และไปทำสิ่งที่ชอบอย่างดำน้ำ ทำสวน เพราะตอนนี้ก็ซื้อที่ทางไว้ คือตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถเลือกงานได้ หรือมีงานดีๆ มาให้เลือกตลอด จริงๆ งานทุกอย่างก็ดีแหละ แต่พอเรายิ่งโตก็ยิ่งไม่ตอบโจทย์เรา ส่วนงานที่เมืองนอกถ้ามีโอกาสก็ยินดีนะ อย่างหนังเรื่อง “the girl in the feather jacket” ก็เป็นอีกงานที่ผมได้ร่วมงานกับต่างชาติ ถ้าได้ฉายผมว่าน่าจะจุดประกายบางอย่างให้เราได้เดินทางออกไปบ้าง ซึ่ง ณ วันนี้ ยังไม่มีโอกาสที่จะมีใครติดต่อเข้ามา ถ้ามีผมก็อยากจะลองอะไรใหม่ๆ เพราะรู้สึกเบื่อการทำงานในทุกวันนี้ ตอนนี้ร่างกายผมเหมือนกดปุ่ม สั่งให้แสดงก็แสดง ไม่ใช่เพราะเราไม่มีอินเนอร์ แต่บทก็มีอยู่แค่นั้น ละครก็ซ้ำไปซ้ำมา มันก็เลยรู้สึกไม่สนุก ที่ทำเพราะเป็นหน้าที่

@@ ในยุคที่โซเชียลมีความสำคัญกับวงการนี้

         ตอนนี้ไม่รู้ไม่อยากให้ความสำคัญ (ยิ้ม) แต่ก่อนมันอยู่ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา ตอนนี้รู้สึกว่าไม่อยากโพสต์ชีวิตส่วนตัว ในอินสตาแกรมของผมจะโพสต์เฉพาะเรื่องงาน ผมเพิ่งคิดได้ไม่กี่เดือนนี้เอง รู้สึกโพสต์น้อยลง แต่ก่อนผมโพสต์ลงบ่อย ผมไม่อยากให้ใครเห็นชีวิตส่วนตัวผมมากและผมไม่รู้ว่าผมจะไปเล่าเรื่องราวของผมให้เขาฟังทำไม เพราะตอนที่ผมสุขเขาก็ไม่ได้อยู่กับผม วันที่ผมทุกข์เขาก็ไม่ได้มานั่งอยู่กับผม ผมไม่จำเป็นต้องให้เขาไปรู้เรื่องของผมเยอะเพื่อให้เขามาวิจารณ์ จะตัดสินผมอย่างไรให้ตัดสินจากงานผม ไม่ใช่ตัดสินจากชีวิตส่วนตัว เพราะว่าสุดท้ายแล้วผมจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ คนที่มาคอมเมนต์เขาทำก็เพราะเขาอยากทำ เขาไม่ได้รู้จักผมด้วยซ้ำ บางทีผมอยากเลิกเล่นไปด้วยซ้ำ แต่เรายังต้องมีเพราะด้วยงานด้วยอะไรหลายๆ อย่าง เรายังมีพรีเซ็นเตอร์ติดตัว เราก็ทำตามหน้าที่ที่เราต้องทำ ถามว่ามีโพสต์เรื่องส่วนตัวบ้างไหม ก็มี เพราะบางเรื่องเราโพสต์เพื่อบอกกล่าวว่าเราอยากจะทำอะไร อนุรักษ์อะไร เวลาออกกำลังกายแล้วลงภาพ คนก็จะเข้ามาบอกว่าถอดเสื้อลงอีกแล้วจะโชว์อะไร คือเราไม่ได้อยากโชว์ เวลาออกกำลังกาย ร่างกายเราเปลี่ยนแปลงอยากให้คนอื่นเห็นไหม

 

พูดคุยกับ 'ปั้นจั่น'

 

@@ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในวันที่ทุกข์ที่สุดก้าวต่อยังไงได้

         จากแม่ แม่คนเดียวเลย ตลอด 10 ปีที่ทำงานงานมา ผมเจอมาทุกสภาพตั้งแต่ตัวประกอบ นักร้องที่ไม่ดัง หมายถึงเพื่อนดังแต่เราไม่ดังก่อนหน้านี้เคยอยากออกจากวงการ เคยถ่ายแบบ ถ่ายเซ็กซี่ เป็นพิธีกร คือปั้นเป็นมาแทบทุกประเภท ซึ่งเราก็อยู่กับมันได้นะ ในวันที่เราโดนวิจารณ์ โดนอะไรก็ตาม เราก็จะมีแม่อยู่ข้างๆ ร้องไห้กับแม่ วันที่ไม่มีเงินเลยก็ได้แม่ช่วย ผมบอกกับแม่เสมอว่าแม่จะเป็นอะไรตอนนี้ไม่ได้เพราะแม่เป็นทุกอย่างของผม ผมอยู่ไม่ได้ หมายถึงว่าผมจะไม่มีพลังในการทำงาน ตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ครอบครัวยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ อยากทำงาน อยากหาเงินเพื่อครอบครัว

@@ แฟนคลับสำคัญกับเรามากแค่ไหน

         สำคัญมาก แต่ผมเป็นคนดูแลแฟนคลับไม่ค่อยเก่ง ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีแฟนคลับเยอะ คนที่วิ่งตามผมตามงานต่างๆ ก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง ก็ต้องขอบคุณแฟนคลับจำนวนนั้นที่คอยติดตามให้กำลังใจซึ่งเขาเหล่านั้นก็เป็นพลังให้ผมส่วนหนึ่ง พูดตรงๆ ผมเป็นคนดูแลใครไม่ค่อยเก่ง พยายามหาคำตอบว่าทำไมเราไม่สามารถดูแลแฟนคลับกลุ่มใหญ่ๆ ได้เหมือนคนอื่น มันเป็นเพราะตัวเรา ผมเคยถามแฟนคลับด้วยซ้ำว่าทำไม ซึ่งก็มีปัจจัยหลายๆ อย่าง ถ้าผมทำได้ผมก็คงดีแต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ คิดว่ามีเท่าไหร่ทำเท่านั้น วันนี้อยากทำอะไรทำ วันนี้เหนื่อยอยากกลับบ้าน เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ดูแลเราจริงๆ และทำให้งานเราถูกพูดถึงก็คือแฟนคลับแหละ จากประชาชนทั้งประเทศ

 

พูดคุยกับ 'ปั้นจั่น'

(ปั้นจั่น-ฐิสา)

 

*** ความรักในวันนี้ ***

@@ ความรักตอนนี้เป็นอย่างไร

         ไม่มีอะไรตอบเลย ถ้าตอบไปเดี๋ยวก็หาว่าผมตอบแบบดารา พูดตรงๆ เลยว่าประสบการณ์สอนให้พูดให้น้อยที่สุด และเราก็ไม่อยากให้ใครมารู้เรื่องความรักของตัวเอง ซึ่งตอนนี้เราพยายามตอบให้น้อยที่สุด เพราะตอบน้อยเปิดช่องโหว่น้อย เจ็บตัวน้อย ไม่มีคนมาถามเยอะ ก็เลยเลือกตอบน้อยดีกว่า แล้วยิ่งเราจีบคนในวงการด้วยยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนสนใจ ซึ่งตัวแปลไม่มีผล แต่ก็มีความบั่นทอน อาจจะไม่ใช่ตัวผม อาจจะเป็นฝั่งตรงข้าม

@@ รักครั้งนี้กับ “ฐิสา” วริฏฐิสา ดูจริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ

           ความรักทุกครั้งผมก็จริงจังหมดแหละ เพราะถ้าเราบอกว่าเล่นๆ เดี๋ยวก็โดนด่าอีก พอจริงจังมากไปก็กลายเป็นว่าคาดหวังอีก บนโลกใบนี้ไม่มีความพอดีเลย ถามว่าเขาใจอ่อนหรือยัง ไม่ทราบเหมือนกัน (ยิ้มอ่อน) โดยส่วนตัวผมขอเก็บไว้ก่อนดีกว่า ว่าใจอ่อนหรือไม่ใจอ่อน ถ้าถามว่าสเปกสาวเป็นอย่างไร โตขึ้นก็ไม่ค่อยมีแล้ว คือโตขึ้นเรียกว่าสเปกก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้เป็นสาวอ้วนหน้าตาดีเราก็ชอบได้นะ ถ้าใช่ สูง ดำ เข้ม แขก เราก็ชอบได้ เพราะเคยเดินผ่านผู้หญิงแขกสวยๆ เราก็สนใจเหมือนกัน กับคนที่จีบตอนนี้เขาก็ต้องเป็นเสปก เพราะถ้าไม่ใช่สเปกเราก็คงไม่จีบใช่ไหม ถามว่ามีการสานสัมพันธ์กันมากขึ้นไหม ก็ศึกษากันแบบพี่น้อง ไม่มีอะไรเพิ่ม คุยกันบ้างเป็นเรื่องปกติ ถามเรื่องงานทุกอย่างก็เหมือนเดิม

 

พูดคุยกับ 'ปั้นจั่น'

 

@@ ที่ไม่อยากตอบเรื่องนี้เพราะคนถามเยอะใช่ไหม

          อย่างที่ตอบไปว่าตอบเยอะช่องโหว่เยอะ โดนคอมเมนต์เยอะ ซึ่งสำหรับผมเองผมไม่อยากตอบเยอะเพราะจะทำให้ผมเบื่อวงการบันเทิง แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ผมอยู่ในวงการนี้ก็คือเงิน ซึ่่งเราต้องยอมรับความจริง คือผมชอบพูดอะไรตรงๆ สาเหตุที่ทำให้คนอยากเข้าวงการบันเทิงก็คือเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้คนเข้าวงการบันเทิงมันง่ายแต่จะอยู่ให้นานมันยาก ถ้าเราสามารถอยู่ได้ก็จะดีมากๆ เพราะจะทำให้เราเมกมันนี่ได้ดี แต่สิ่งหนึ่งเราต้องไม่ยุ่งเกี่ยว อย่าไปรู้ร้อนรู้หนาวกับเหตุบ้านการเมือง รู้ร้อนรู้หนาวกับความรักของใคร นั่นคือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดจากประสบการณ์ที่ผมเคยโดนมา ดังนั้นผมจะไม่ออกความคิดเห็นอะไรอีกแล้ว และผมก็จะไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน มันจะทำให้ผมอยู่รอดปลอดภัยและไม่เหนื่อยกับการโดนวิจารณ์

         อีกหนึ่งมุมของหนุ่มคนนี้  “ปั้นจั่น” ปรมะ

 

เรื่อง เสาวลักษณ์ ปึงทมวัฒนากูล

ภาพ วันชัย ไกรศรขจิต / อนันต์ จันทรสูตร์

 

พูดคุยกับ 'ปั้นจั่น'

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ