ผ่าแผนพัฒนาพื้นที่‘มักกะสัน’สู่สมาร์ทซิตี้ เปิดประตูสู่กรุงเทพฯ-จุดบรรจบ‘ไฮสปีด3สาย’
อภิมหาโปรเจกต์ขนาดใหญ่ใจกลางกรุงบนเนื้อที่กว่า 745 ไร่ ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)เตรียมเนรมิตให้เป็นเมืองใหม่ หรือ สมาร์ท ซิตี้บริเวณพื้นที่ย่านมักกะสันเพื่อรองรับการคมนาคมขนส่งทั้งระบบที่เป็นจุดบรรจบของไฮสปีดเทรนทั้ง 3 สาย กลายเป็นประตูสู่กรุงเทพฯ ที่เปิดรับผู้มาเยือนจากทั่วโลก
“มักกะสันเป็น 1 ใน 4 ที่ดินแปลงใหญ่ของกรุงเทพฯ ซึ่งหากพัฒนาได้ตามเป้าหมายก็จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ทันสมัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถรองรับโลจิสติกส์ในระดับประเทศและอาเซียน เชื่อมต่อโครงการกับรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 ท่าอากาศยาน โครงการรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง และรถไฟทางคู่ รวมทั้งจะส่งผลดีต่อการปฏิรูปการรถไฟฯ
พิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นสรุปผลการทบทวน/ศึกษาเพิ่มเติมความเหมาะสมด้านธุรกิจและการลงทุนโครงการพัฒนาบริเวณพื้นที่ย่านมักกะสันของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) พ.ศ.2556 โดยมีนักลงทุนหลายกลุ่มให้ความสนใจเข้าร่วมงานสัมมนาดังกล่าวกว่า 200 ราย อาทิ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์, เครือบีทีเอส, บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM, ช.การช่าง, ศุภาลัย, พฤกษา, อารียา, แม็คโคร, แมกโนเลีย, เอราวัณ, บิ๊กซี, เซ็นทรัลพัฒนา, เจ้าพระยามหานคร, สยามพิวรรธน์, ภูเก็ตพัฒนาเมือง เป็นต้น
สำหรับโครงการดังกล่าว การรถไฟฯ เป็นผู้ว่าจ้างให้สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า เป็นผู้ออกแบบสำรวจและทำการศึกษาจนได้ผลสรุป โดยมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 โซน ได้แก่ โซนเอ(A) ซึ่งเป็นส่วนธุรกิจการค้า จำนวน 139.82 ไร่ประกอบด้วย สถานีเชื่อมสู่ท่าอากาศยาน โรงแรม ศูนย์ประชุม-สัมมนา ห้างสรรพสินค้าและอาคารจอดรถ
โซนบี(B) เป็นส่วนอาคารสำนักงาน จำนวน 179.2 ไร่ ประกอบด้วย มักกะสัน ทาวเวอร์ ศูนย์ข้อมูลธุรกิจ อาคารสำนักงาน อุตสาหกรรมของรัฐ ธนาคาร โซนซี(C) เป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ จำนวน 151.0 ไร่ ประกอบด้วยส่วนที่อยู่อาศัยและสาธารณสุข ประกอบด้วยโรงพยาบาลระดับนานาชาติ โรงเรียนนานาชาติ ศูนย์แสดงสินค้าและโซนดี(D) เป็นส่วนพิพิธภัณฑ์การรถไฟฯ จำนวน 38.6 ไร่ ประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์การรถไฟ ที่ทำการส่วนราชการ โดยแต่ละโซนนั้นยกเว้นโซนดีจะถูกกำหนดให้มีพื้นที่สีเขียวหรือสวนสาธารณะไม่ต่ำกว่า 15 ไร่
“มักกะสันเป็นกุญแจสำคัญที่จะพัฒนาการรถไฟฯ ให้เป็นองค์กรชั้นนำต่อไปได้ การพัฒนาทรัพย์สินที่การรถไฟฯ มีอยู่กว่า 3 แสนล้านบาทให้ได้ผลตอบแทนในลักษณะที่เป็นราคายุติธรรม ก็สามารถทำให้การรถไฟฯ เปลี่ยนโฉมไปเลย”
รมช.คมนาคม กล่าวต่อไปว่าประเด็นสำคัญตอนนี้คือการตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟฯ ซึ่งจะทำให้โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ มีความชัดเจนมากขึ้น โดยกระทรวงคมนาคมตั้งเป้าหมายจะเสนอเรื่องการตั้งบริษัทลูกให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) พิจารณาในปลายเดือนกันยายนนี้และจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในเดือนตุลาคม 2560
“เบื้องต้นจะขอให้ ครม.เห็นชอบการจัดตั้งบริษัทดังกล่าว โดยยกเว้นระเบียบ 2 ส่วนเพื่อให้มีความคล่องตัวในลักษณะเดียวกับ ปตท. หรือการบินไทย คือ 1.ยกเว้นระเบียบการจ้างบุคลากรทั้งหมดให้ไม่ต้องอิงกับ พ.ร.บ.การรถไฟฯ เพราะต้องการจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง 2.ขอให้ใช้โครงการระดมทุนด้วยตัวเองได้อย่างอิสระ เช่น ออกตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) รูปแบบต่างๆ เป็นต้น หากเป็นไปตามแผนก็คาดว่าจะเปิดประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2561 แต่ตอนนี้ยังระบุไม่ได้ว่าจะเปิดประมูลพื้นที่มักกะสันแปลงใด รูปแบบใด และเมื่อใด เพราะการพัฒนาพื้นที่มักกะสันเพิ่งอยู่ในระยะเริ่มต้นและสามารถปรับเปลี่ยนได้อีก จึงต้องรอรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้ง”
ขณะที่ วรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการ รฟท. ฝ่ายบริหารทรัพย์สิน ระบุว่า พื้นที่ทรัพย์สินของการรถไฟฯ เป็นของทุกคน ดังนั้นการพัฒนาพื้นที่จะต้องให้มีทุกคนมีส่วนร่วมว่าอยากได้พื้นที่ออกมาเป็นหน้าตาอย่างไร ซึ่งการออกแบบจะมุ่งไปที่ 3 กลุ่มเป้าหมายคือพื้นที่สีเขียว พื้นที่ธุรกิจและที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยพื้นที่แต่ละแห่งของการรถไฟฯ จะต้องเชื่อมโยงกัน ถือเป็นการเริ่มต้นการพัฒนากทม.ไปอีกจุดหนึ่ง
“เราอยากให้มักกะสันเป็นจุดเชื่อมโลจิสติกส์ของกทม. รถไฟความเร็วสูงก็มาจอดเป็นสถานที่สุดท้ายที่นี่ ตอนนี้การรถไฟฯ อยู่ในช่วงปฏิรูปหน่วยงานและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์” รองผู้ว่าการ รฟท.กล่าว
รศ.ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงที่มาของโครงการ โดยระบุว่า การรถไฟฯ ได้ว่าจ้างนิด้าเป็นที่ปรึกษาเพื่อทบทวนโครงการพัฒนาพื้นที่ย่านมักกะสัน เนื่องจากผลการศึกษาเดิมจัดทำไว้ตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งตอนนี้สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ขณะเดียวกันการบังคับใช้กฎหมายพีพีพีก็เปลี่ยนจากฉบับปี 2535 เป็นปี 2556
“การศึกษาใหม่ยังอ้างอิงผลการศึกษาเดิมบางส่วน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 โซนเท่าเดิม แต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ของรัฐบาล”
อธิการบดีนิด้าเผยต่อว่า ในเฟสแรกจะเปิดประมูลพื้นที่โซนเอและโซนซีบางส่วน เนื่องจากเป็นพื้นที่ว่างเปล่า จากนั้นจะทยอยเปิดประมูลแปลงอื่นๆ ตามมา ขณะเดียวกันจะขอให้นักลงทุนพัฒนาพื้นที่โซนบีและโซนซี บางส่วนเป็นพื้นที่สีเขียวด้วย ซึ่งแต่ละโซนจะต้องไม่ต่ำกว่า 15 ไร่
นับเป็นอีกก้าวของการพัฒนาพื้นที่ย่านมักกะสันของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อก้าวไปสู่ความเป็น สมาร์ท ซิตี้ ที่มีความพร้อมในทุกๆ ด้านและเป็นหน้าด่านแรกการเปิดประตูสู่กรุงเทพฯ อีกด้วย
หลากมุมมองต่อการพัฒนาพื้นที่“มักกะสัน”
สำหรับมุมมองของผู้ประกอบการและนักลงทุนที่เข้าร่วมฟังสรุปผลโครงการในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการพัฒนาพื้นที่ย่านมักกะสันเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเมืองหลวง หากแต่ยังคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมยุคบุกเบิกสมัยรัชกาลที่ 5 เปลี่ยนโรงซ่อมรถจักร เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา ยกระดับโรงพยาบาลรถไฟสู่สากลไว้รองรับลูกค้าชาวต่างชาติ
ตัวแทนจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ ให้มุมมองว่านอกจากของเดิมที่มีอยู่แล้วจะต้องเพิ่มของใหม่เข้าไปด้วย สำหรับอาคารพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการรถไฟตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ส่วนระบบโลจิสติกส์นอกจากการขนส่งระบบรางทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าแล้ว จะต้องให้ความสำคัญคมนาคมทางน้ำด้วย เนื่องจากพื้นที่อยู่ไม่ไกลกับคลองแสนแสบ มีเรือวิ่งประจำอยู่แล้ว เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวด้วย
“การออกแบบพัฒนาย่านมักกะสันควรจะเอาแบบอย่างการคมนาคมทางบกของโตเกียว อินเตอร์เนชั่นเนล ฟอรั่มในโตเกียว มาผนวกกับของเมืองอัมสเตอร์ดัมที่มีจุดเด่นระบบการขนส่งทางน้ำมาไว้ด้วยกัน เพราะของเรามีพร้อมอยู่แล้ว”
อำพน ทองรัตน์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย เห็นด้วยกับการพัฒนาพื้นที่ย่านมักกะสัน โดยให้มุมมองไว้ 3 ประเด็นคือ 1.การประหยัดพลังงาน รูปแบบของอาคารจะต้องประหยัดพลังงานเป็นสำคัญ อย่างเช่นการใช้โซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงซ่อมรถจักร เป็นต้น 2.การพัฒนายกระดับโรงพยาบาลรถไฟสู่อินเตอร์ เพื่อรองรับผู้ให้บริการชาวต่างชาติด้วย และ 3.การอนุรักษ์อาคารพิพิธภัณฑ์เดิมเอาไว้ เป็นอาคารที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2450 สมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามมากและการปรับเปลี่ยนโรงซ่อมรถจักรที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์จะต้องอนุรักษ์ไว้ ไม่ทำลายทิ้งเมื่อมีการย้ายโรงซ่อมรถจักรไปยังที่แห่งใหม่
“โรงพยาบาลรถไฟมีที่ตั้งทำเลที่ดีมากๆ เพราะติดถนนทั้ง 3 สาย มีเนื้อที่มากถึง 30 ไร่ เป็นโรงพยาบาลที่มีเนื้อที่มากที่สุดในประเทศไทย จะต้องมีการพัฒนา ยกระดับไปสู่ธุรกิจมากขึ้น” อำพน กล่าวย้ำ
อย่างไรก็ตาม ทางการรถไฟฯ จะทำการประชาพิจารณ์โครงการโดยให้ผู้เกี่ยวข้องหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมรับฟังสรุปผลการศึกษาอีกครั้งในวันอังคารที่ 5 กันยายน นี้ ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกต ประตูน้ำ เวลา 13.00-16.00 น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง