‘ครูปรีชา’ รับคลิปเสียงหลุดเป็นตัวเองแค่บางส่วน

               19 ก.พ. 61  จากกรณีคดีหวย 30 ล้านบาท จ.กาญจนบุรี ระหว่าง นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือ ครูปรีชา อายุ 50 ปี ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนเทพมงคลรังสี ต.บ้านเหนือ อ.เมืองกาญจนบุรี กับ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือ ลุงจรูญ อายุ 62 ปี อดีตข้าราชการตำรวจ ที่ต่างอ้างว่าเป็นเจ้าของลอตเตอรีดังกล่าว โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เรียกทีมสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีมาประชุมร่วมกัน เพื่อสรุปว่าใครคือผู้ที่เป็นเจ้าของสลากฯ ที่แท้จริง พร้อมพิจารณาว่ามีใครเข้าข่ายจะต้องถูกดำเนินคดี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่กระทำความผิดโดยเจตนาและสมรู้ร่วมคิดตั้งแต่แรก ซึ่งมีผู้กระทำความผิดชัดเจนแล้ว 2 คน พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อขอหมายจับข้อหา ให้การเท็จเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับผิดในคดีอาญา และมีการประชุมเมื่อวันที่ 18 ก.พ. โดยอาจมีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 7 รวมอยู่ด้วย

 

 

               ล่าสุด เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ กองบังคับการปรามปราบ (บก.ป.)  พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบก.ป. ได้ร่วมประชุมหารือในคดีดังกล่าว

 

 

               พล.ต.ต.ชาญ กล่าวว่า วันนี้เป็นการติดตามคดีในครั้งแรก หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป. ได้รับสำนวนจากตำรวจภูธรภาค 7 และได้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบ วันนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะทำการออกหมายจับใครได้ และยังไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นเจ้าของลอตเตอรีดังกล่าว เพราะจะต้องมีการประชุมหารือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าแต่ละชุดทำงานได้พยานหรือหลักฐานอะไรที่เป็นประโยชน์บ้างหลังจากได้ลงพื้นที่ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยขณะนี้ได้มีการคัดพยานออกว่าพยานใดไม่เกี่ยวข้องก็ต้องทำการคัดออก โดยตอนนี้มีพยานทั้งหมด 10 ปาก และขอยืนยันว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการให้เจ้าหน้าที่ตามประกบแต่อย่างใด ในวันที่ 20 ก.พ. ที่จะถึงนี้ ที่ทาง ร.ต.ท.จรูญ จะต้องเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี นั้น ไม่จำเป็นแล้ว เนื่องจากว่าได้มีการตั้งคณะทำงานชุดใหม่ของ บช.ก. ดังนั้น ก็ต้องยกเลิกไปก่อน

 

 

               พล.ต.ต.ชาญ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม คดีมีความคืบหน้าไปประมาณ 70 - 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ก็ยังต้องตรวจสอบหลักฐานและพยานอีกจำนวนมาก โดยหลังประชุมครั้งนี้ อีก 2 วัน ก็น่าจะออกหมายจับผู้กระทำความผิดได้ สำหรับกรณี นายแผน และ นางกุ้ง ที่เป็นพยานที่อ้างว่าเห็นคนลักษณะคล้าย ร.ต.ท.จรูญ ก้มเก็บลอตเตอรีนั้น ก็ต้องเรียกมาสอบเพิ่มเติม แต่เบื้องต้นพบว่าไม่ใช่กลุ่มเดียวกับ ครูปรีชา และ เจ๊บ้าบิ่น นอกจากนี้ทาง ครูปรีชา ได้รับสารภาพ ระบุลงในสำนวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 แล้วว่า เสียงที่ปรากฏในคลิปที่สนทนาที่หลุดออกมานั้น เป็นเสียงของ ครูปรีชา จริง และ ครูปรีชา เองก็เป็นคนที่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบโทรศัพท์เอง สำหรับการสอบปากคำพนักงานสอบสวนของ สภ.กาญจนบุรี ทั้ง 4 นาย นั้น ขณะนี้ก็ยังสอบอยู่ เพราะขาดอีกหลายประเด็น แต่ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไม่มีอาการเครียด ทั้งนี้ ตนไม่สามารถฟันธงได้ว่าคดีดังกล่าวจะมีแนวโน้มผลสรุปทางคดีต่างไปจากผลของตำรวจภูธรภาค 7 หรือไม่ ขอให้พิสูจน์กันที่พยานหลักฐาน

 

 

               พล.ต.ต.ชาญ ระบุว่า การพิจารณาสอบปากคำหรือต้องสั่งย้าย พล.ต.ท.กิตติพงษ์ เงามุข ผบช.ภ.7 หรือไม่นั้น ขอให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณา ส่วนจะมีการเชิญ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี มาสอบหรือไม่นั้น ก็ต้องอยู่ที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเอง ถ้ามีการเกี่ยวพันไปถึงก็ต้องเรียกมาสอบ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเชิญมาสอบปากคำเพิ่มเติม

 

 

               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประชุมหารือนั้น ครูปรีชาได้วิดีโอคอลมาหาผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง และให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า คลิปเสียงที่หลุดออกไปนั้นตนยอมรับกับตำรวจเป็นเสียงของตัวเอง มีแค่บางส่วนเท่านั้น และไม่กังวลใจใดใดทั้งสิ้นหากผลคดีออกมาว่าตนเป็นคนผิด และไม่คิดจะหลบหนี

 

ไม่จำเป็นต้องสอบปากคำ ‘ครูปรีชา’ เพิ่มเติมแล้ว

 

               หลังการประชุมติดตามความคืบหน้าคดีนานกว่า 4 ชั่วโมง พล.ต.ต.ชาญ เปิดเผยว่า ยังมีอีกหลายประเด็นที่พนักงานสอบสวนยังสงสัย ซึ่งจะต้องมีการสอบสวนต่อ ทั้งเรื่องของห้วงเวลา และความเชื่อมโยงของคดีและคลิปเสียง ซึ่งคลิปเสียงที่เกี่ยวข้องมีกว่า 4,000 คลิป แต่มีเพียง 6 - 7 คลิปเสียงที่เป็นไฮไลท์ ทำให้ไม่สามารถสรุปได้ จึงต้องส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานกลางตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งคลิปเสียงจะเป็นหลักฐานหนึ่งในการขอออกหมายจับผู้ที่กระทำผิดแน่นอน ซึ่งไม่ใช่ภายใน 2 วันนี้ แต่ต้องออกหมายจับก่อน 27 กุมภาพันธ์ รวมถึงที่ประชุมยังมีการคัดแยกพยานจากสำนวนการสอบสวนของตำรวจภูธรภาค 7 ที่เหลือไม่เกิน 7 ปาก ที่จะนำมาขยายผลต่อ และเป็นพยานสำคัญในคดี โดยบุคคลทั้งหมดเป็นพยานที่เคยเรียกมาสอบสวนแล้ว และระบุว่าพนักงานสอบสวนไม่จำเป็นต้องสอบปากคำครูปรีชาเพิ่มเติม เนื่องจากไม่มีประเด็นอื่นที่สงสัย ส่วนฝั่ง ร.ต.ท.จรูญ วันนี้ที่ประชุมได้มีการเสนอให้เก็บรายละเอียดทั้งหมดเช่นกัน โดยเฉพาะรายละเอียดจากโทรศัพท์มือถือ

               โดยในวันพรุ่งนี้ (20 ก.พ.) ตำรวจกองบังคับการปราบปราม จะลงพื้นที่ไปสอบปากคำพยานฝั่งครูปรีชาเพิ่มเติม และจะนำมาเข้าที่ประชุมใหญ่ในวันพุธนี้อีกครั้ง

 

รอเก้อ ‘ครูปรีชา’ ยกเลิกแถลงข่าว

 

               เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น.  ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบ ‘ครูปรีชา’ เพื่อสอบถามถึงความรู้สึกกรณีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ จะประชุมคณะพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และได้เปรยเอาไว้ว่าอาจจะมีการออกหมายจับกลุ่มผู้กระทำผิดมากกว่า 2 คน โดยพุ่งเป้ากลุ่มผู้ที่จะโดนออกหมายจับมาทางฝั่งของ ‘ครูปรีชา’ และพยาน

               เมื่อผู้สื่อข่าวไปถึงพบ ‘ครูปรีชา’ แต่งตัวข้าราชการเต็มยศ และเมื่อพบผู้สื่อข่าว ‘ครูปรีชา’ ก็ได้พูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่กับสื่อมวลชนอย่างเป็นกันเอง และสุดท้าย ‘ครูปรีชา’ ได้นัดหมายสื่อมวลชนทั้งหมดให้มาพร้อมกันที่โรงเรียนในเวลา 16.00 น. เนื่องจากต้องการจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หากทางเจ้าหน้าที่กองปราบฯ มีการแถลงว่าได้มีการออกหมายจับตามที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้ สื่อมวลชนทุกสังกัดก็ไม่ขัดข้อง

               จนกระทั่งเมื่อถึงเวลานัดหมาย ปรากฏว่า ‘ครูปรีชา’ ไม่ได้แถลงข่าวแต่อย่างใด โดยให้เหตุผลต่อสื่อมวลชนว่า เนื่องจากทางกองปราบฯ ไม่ได้มีการแถลงสรุปคดี ดังนั้น ตนจึงยังไม่มีอะไรจะพูด

               ‘ครูปรีชา’ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตำรวจกองปราบฯ ได้เรียกตนไปสอบสวน เมื่อเดือนธันวาคม 60 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอความร่วมมือในเรื่องของการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ จึงเซ็นยินยอมไป และได้นำคลิปเสียงมาเปิดให้ตนฟัง ซึ่งตนได้เซ็นยืนยันไปเช่นกัน ส่วนคลิปไม่ใช่เสียงที่นำมาเผยแพร่อยู่ในขณะนี้ โดยเป็นการพูดคุยในลักษณะคลิปที่ถูกเผยแพร่ออกมาบ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งเสียงในคลิปเป็นเสียงที่คล้ายตน แต่ขอไม่ยืนยันว่าเป็นเสียงตนหรือไม่

               ถามว่า ตกลง ‘ครูปรีชา’ ซื้อเลขท้าย 726 ไปกี่ชุด ‘ครูปรีชา’ ตอบว่า เรื่องนี้ไม่ตอบ เพราะเป็นเรื่องของคดี อยู่ในสำนวนหมดแล้ว ซึ่งหากเป็นเรื่องในสำนวนตนจะไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น และที่ผ่านมาตนไม่ได้หวั่นวิตกกังวลว่าทางตำรวจจะออกหมายเรียกหรือหมายจับ เพราะว่าเราของจริง เราซื้อจริง และพยานทุกคนก็อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดจริง จึงไม่ได้เครียดแต่อย่างใด ส่วนตัวเชื่อว่าคลิปเสียงไม่ได้มีเป็นพันคลิปตามที่มีกระแสข่าวออกมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบทสนทนาเกี่ยวกับการจองเลข สั่งเลข ทบทวนตัวเลข ตามปกติ ในส่วนของคำพูดที่เรียกว่า ที่รัก ตนจำไม่ได้ แต่ที่สอบปากคำไปแล้ว ไม่มี

               กรณีที่หลายคนเชื่อว่าเป็นเสียงของครูนั้น ‘ครูปรีชา’ กล่าวว่า คนที่จะตอบได้ว่าเป็นเสียงของครูหรือไม่ คือ ครูเอง ไม่ใช่คนอื่น และขอให้ย้อนกลับไปหาแหล่งที่มาของเสียงก่อนว่าเอามาจากไหน และค่อยกลับมาถามครู หากหามาได้ จึงจะตอบคำถามในเรื่องดังกล่าว

               หากผลสรุปของทางตำรวจกองปราบฯ ออกมาชี้ชัดว่า ตนไม่ใช่เจ้าของลอตเตอรี ตนยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะยื่นร้องต่อหน่วยงานอื่นให้มีการตรวจสอบใหม่อีกหรือไม่ โดยขอปรึกษากับทนายความส่วนตัวก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

               จนถึงขณะนี้ ตนยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ เจ๊บ้าบิ่น เจ๊พัช หรือ เจ๊เกียว แต่อย่างใด เพราะของเราคือของจริง และพูดเรื่องจริง ดังนั้น ไม่ต้องมีการซักซ้อม ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า เจ๊พัช รู้สึกกังวลและเครียด หากตัวเองถูกออกหมายจับ เพราะคงไม่มีหลักทรัพย์หรือเงินสดยื่นขอประกันตัวนั้น ซึ่งในเรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนการออกหมายจับ ยังคงอยู่ที่ขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังหาข้อเท็จจริงว่าลอตเตอรีเป็นของใคร

               กรณีที่ทางตำรวจกองปราบฯ ตัดพยานฝ่าย ‘ครูปรีชา’ เหลือ 4 - 5 ปาก นั้น ‘ครูปรีชา’ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่า ลอตเตอรีเป็นของตน 100 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

ครูซัดคลิปมอมเมา ตร.พบแจ้งเท็จ 2 ราย (อ่านต่อ...)

 

ถกคดีหวย 30 ล้าน คาดอีก 2 วัน ออกหมายจับได้ (อ่านต่อ...มีคลิป)