ข่าว

ครูซัดคลิปมอมเมา ตร.พบแจ้งเท็จ 2 ราย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ครูปรีชาปัดตอบคลิปคุยกับแม่ค้าที่สื่อนำมาเผยแพร่ใช่ตนเองหรือไม่ อัดเป็นการชี้นำและมอบเมาประชาชน จี้สื่อหาที่มา กองปราบถกคดีหวย 30 ล้าน วันนี้ แย้มพบผิด 2 คน

          สลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 หมายเลข 533726 จำนวน 5 ใบ มีสิทธิ์ได้เงิน 30 ล้านบาท ยังคงอยู่ในความสนใจของประชาชน ว่าใครคือเจ้าของตัวจริงระหว่าง นายปรีชา ใคร่ครวญ อายุ 50 ปี ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี กับ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อายุ 62 ปี ข้าราชการตำรวจเกษียณ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสอบสวนกลาง เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เร่งสืบสวนสอบสวนว่าใครคือเจ้าของที่แท้จริง ขณะเดียวกัน มีปล่อยคลิปเสียงคล้ายครูปรีชาพูดคุยกับแม่ค้าขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ทำนองไม่แน่ใจและแทบจะไม่รู้ตัวด้วยว่า ถูกรางวัลที่ 1

          ล่าสุด เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. กล่าวว่า ขณะนี้ชุดสืบสวนสอบสวนกำลังรวบรวมรายละเอียดที่ได้มาทั้งหมดตั้งแต่การลงพื้นที่จำลองเหตุการณ์ การสอบสวนพยานทั้งตำรวจและพยานฝ่ายนายปรีชาเพิ่มเติม รวมทั้งพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และนิติวิทยาศาสตร์ โดยในเวลา 14.00 น. วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ นี้ พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รอง ผบช.ก. จะมาเป็นประธานในการประชุมที่กองปราบปราม คาดว่าจะมีความคืบหน้าชัดเจนมากขึ้น แต่จะถึงขั้นว่าจะสรุปได้เลยหรือไม่ว่าลอตเตอรี่ดังกล่าวเป็นของใครนั้น ยังไม่สามารถบอกได้ ขึ้นอยู่กับหลักฐานที่จะนำมาหารือกันในการประชุม

          พล.ต.ต.ไมตรีกล่าวต่อว่า จนถึงขณะนี้ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ไปข่มขู่หรือคุกคามให้ใครรับสารภาพ เป็นการทำคดีอย่างตรงไปตรงมา เพราะตำรวจสอบสวนกลางมาจากส่วนกลาง มีความเป็นมืออาชีพ การที่ต้องสอบปากคำโดยใช้เวลากว่าสิบชั่วโมง เพราะไม่อยากเรียกพยานมาสอบบ่อยๆ จึงต้องสอบให้ครบถ้วนทุกประเด็นไม่ขาดตกบกพร่อง โดยการสอบสวนมีทนายความของพยานอยู่ด้วยตลอดเวลา ส่วนกรณีที่มีพยานบางรายเข้าใจว่ามีการส่งตำรวจไปเฝ้าดูหรือด้อมๆ มองๆ นั้น ขอยืนยันว่าเราไม่ทำอย่างอ้อมค้อม ทุกอย่างต้องโปร่งใส ที่ผ่านมาไม่เคยส่งใครไปจับตาดูผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดี เป็นไปได้ที่พยานหรือผู้เกี่ยวข้องบางคนอาจจะกังวลเลยเกิดอาการคิดหรือมโนไปเอง จนถึงขณะนี้ตำรวจยังคงยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายเพื่อให้คดีนี้เกิดความยุติธรรมที่สุด ส่วนเรื่องที่มีตำรวจภาค 7 รุ่นเดียวกันเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วจะมีการช่วยเหลือกันนั้น ไม่หนักใจถึงแม้จะเป็นเพื่อนกัน เป็นนายร้อยตำรวจรุ่นเดียวกันก็ตาม ก็สามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้

          รายงานข่าวแจ้งว่า การประชุมที่จะมีขึ้นนั้นจะมีการหารือถึงแนวทางการสรุปคดีเพื่อระบุให้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของสลากที่แท้จริง หลังจากนั้นจะพิจารณาหารือว่าใครที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีบ้าง ซึ่งคณะทำงานจะพิจารณาจากเจตนาของผู้กระทำความผิดเป็นสำคัญเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องมากที่สุด โดยเบื้องต้นพบแล้วว่ามีผู้กระทำความผิดมากกว่า 2 คน ส่วนข้อหาอาจจะแตกต่างกันไปบ้างขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการกระทำความผิด ทั้งนี้ความผิดส่วนใหญ่ที่พบจะอยู่บนฐานความผิดเกี่ยวกับการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญาเป็นหลัก

          ด้าน พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รอง ผบช.ก. เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีดังกล่าว โดยให้เป็นผู้ควบคุมการทำงานให้ดี เนื่องจากสังคมคาดหวังการทำงานของตำรวจสูงมาก โดยในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ จะเรียกเจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมายงานไปแล้วมาประชุมเพื่อรวบรวมข้อมูลติดตามความคืบหน้าของแต่ละส่วนว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว พร้อมกำชับให้สอบพยานให้แล้วเสร็จในสัปดาห์นี้ อีกทั้งยังระบุว่าไม่อยากให้สังคมคาดหวังว่าตำรวจจะออกหมายจับบุคคลใดหรือไม่ แต่ขอให้เชื่อมั่นว่าตำรวจจะดำเนินการตามข้อเท็จจริงและหาคนผิดมาดำเนินคดีให้ได้ ทั้งนี้ คดีมีความยืดเยื้อมานานแล้ว แต่ที่ต้องล่าช้าไปเนื่องจากต้องการให้ผลลัพธ์ออกมาชัดเจนที่สุด

          รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ภายหลังจากที่ชุดคลี่คลายคดีของกองปราบฯ ได้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกาญจนบุรี จำนวน 4 นาย ประกอบด้วยนายตำรวจยศ พันตำรวจโท พันตำรวจตรี ร้อยตำรวจเอก และดาบตำรวจ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำสำนวนคดีในช่วงแรกที่เกิดเรื่อง มาสอบปากคำไปก่อนหน้านี้ เบื้องต้นพบว่าบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้คดีเกิดปัญหาขึ้นมาอย่างแน่นอน อีกทั้งยังพบว่าเป็นการจงใจทำให้แนวทางคดีออกมาในลักษณะดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่เป็นความผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจะผิดมากหรือน้อยยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัด ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวจะถูกนำเข้าหารือในการประชุมสรุปสำนวนคดีรอบแรกในวันพรุ่งนี้ด้วยเช่นกัน

          วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.30 น. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านพักของครูปรีชา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เพื่อสอบถามกรณีที่รายการข่าวภาคค่ำ ช่อง 7 สี นำคลิปเสียงพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ความยาว 3 นาที มาเผยแพร่เมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า ใช่เสียงของครูปรีชาหรือไม่ เมื่อไปถึงพบรถยนต์กระบะ 2 คัน รถยนต์ 1 คัน จอดอยู่ภายในบ้าน ส่วนประตูหน้าบ้านล็อกกุญแจด้านในเอาไว้ บรรยากาศค่อนข้างเงียบ แต่สื่อมวลชนเชื่อว่าครูปรีชาพร้อมครอบครัวคงอยู่ภายในบ้าน ไม่นานนักครูปรีชาก็ได้ตะโกนบอกสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวว่า ขอเวลาอาบน้ำสักพัก จนกระทั่งประมาณ 30 นาที ครูปรีชาก็เดินออกมาพบผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเช่นเดิม และพูดจาแซวสื่อมวลชนว่า เมื่อวานคุยกันแล้วไงล่ะว่าวันนี้จะไม่มาพบ เพราะครูจะพาครอบครัวไปทำบุญฝังลูกนิมิต แต่อย่างไรก็ตาม ครูปรีชาก็เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสอบถามได้

          ผู้สื่อข่าวถามว่า ครูฟังเรื่องคลิปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งครูปรีชาตอบว่า เมื่อคืนได้ดูคลิปแล้ว ช่อง 7 นี่เก่งมากเลย ไม่รู้ไปเอาคลิปใครมาก็ไม่รู้ ก็อย่างที่ครูเคยบอกว่าเรื่องคลิปเสียง ซึ่งพูดแล้วก็พูดอีกว่า ใครมีหลักฐานอย่างไรก็น่าจะเข้าสู่ระบบกระบวนการของศาล เพราะทำแบบนี้เหมือนการชี้นำประชาชน

          “คลิปทั้งหมดนี้ครูอยากจะทราบว่าแหล่งที่มานั้นมาจากแหล่งไหน ใครเป็นคนเอามา แล้วที่มานี่มาได้อย่างไร ดังนั้นจะมาถามครูก่อนไม่ได้ จะต้องไปถามคนที่นำมาว่านำมาจากไหน จึงอยากให้นักข่าวไปถามว่าแหล่งที่มาของคลิปเสียงนั้นมาจากไหน โดยเฉพาะที่ช่อง 7 เอามาลง ช่อง 7 เอามาจากไหน” ครูปรีชากล่าว

          ผู้สื่อข่าวถามว่า จริงๆ แล้วครูเคยมีคลิปเสียงนี้หรือไม่ ครูปรีชาตอบว่า คือเรื่องเสียง เมื่อพูดถึงโทรศัพท์ทั่วๆไป เราก็พูดคุยกันโดยทั่วๆ ไป แต่ใครจะมาจำว่าเราจะพูดกับใครตรงไหนบ้าง มันจำไม่ได้หรอก ดังนั้นก็อย่างที่ครูบอกนั่นแหละว่า ใครมีพยานหลักฐานดีๆ นำไปเข้าสู่กระบวนการศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรมอยู่แล้ว ความจริงครูก็ไม่ได้ปฏิเสธนะว่าเสียงในคลิปนั้นเป็นเสียงครูหรือไม่ แต่ว่าอยากให้นักข่าวได้กลับไปถามก่อนว่า ที่มาของเสียงมาอย่างไร ใครเป็นคนเอามา มาจากแหล่งไหน ดังนั้นการที่มีคลิปเสียงออกมาชี้นำประชาชน ครูเคยบอกแล้วว่าเป็นการมอมเมาประชาชน ทำให้ประชาชนเข้าใจในความที่ไม่ถูกต้อง ถ้าคนเอามาบอกที่มาของแหล่งเสียงได้ ถึงค่อยมาคุยกับครูคลิปนี้คืออะไร ดังนั้นขอให้นักข่าวทุกคนกลับไปถามคนที่เอาคลิปมา เอามาจากไหน มาจากแหล่งใด แล้วค่อยมาถามครูก็แล้วกัน

          ผู้สื่อข่าวถามว่า อย่างกรณีคลิปเสียงนี้ถ้าฟังดูดีๆ และถ้าเกิดเป็นคลิปของครูจริง ถ้าครูได้มีการอธิบายเพิ่มเติมเสริมไปมันอาจจะเป็นทางบวกกับครู ครูมองว่าอย่างไร ครูปรีชาตอบว่า คือจริงๆ จะบวกหรือลบครูเองก็ไม่ได้ติดใจ ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันเป็นเรื่องของคดี ต้องเข้าสู่กระบวนการศาล จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องจะบวกหรือลบ เพราะสักวันหนึ่ง ประชาชนก็จะเข้าใจเมื่อคดีเรียบร้อยแล้ว

          ส่วนคำถามที่ว่าทางกองปราบฯ เตรียมจะออกหมายจับ มีความกังวลอะไรหรือไม่ ซึ่งครูปรีชาก็ตอบเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาว่า บอกตรงๆ ว่าไม่ได้หวั่นวิตกหรือกังวลอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเราคือเรื่องจริง และเชื่อมั่นในความจริง ส่วนกรณีที่ ผบช.ก.บอกเปิดโอกาสให้คนทำผิดกลับตัวกลับใจ ซึ่งท่านก็พูดอย่างเป็นกลาง ก็หมายความว่าท่านบอกกับทั้งสองฝ่าย ดังนั้นอย่าไปแปลความหมายกันเอง

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ทนายความฝ่าย ร.ต.ท.จรูญ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า

          “พยานเด็ดแต่ละคนที่โผล่ออกมาช่วยครูปรีชา ผมว่าน่าจะเลิกได้แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่เนียนหรอกครับ เพราะเรื่องมันไม่จริง จะหวังดีแต่ประสงค์ร้ายกันไปถึงไหน คนที่บอกว่าเป็นคนสนิทครู พยายามจะทำให้สมจริง โดยบอกว่าที่จริงครูรู้ว่าหวยหายตั้งแต่ 30 ต.ค.แล้ว แต่ครูเองบอกว่าไปซื้อวันที่ 31 ต.ค. ยังมีผู้ชายล่าสุดออกมาบอกทีวีช่องหนึ่งว่าเห็นกับตาว่าครูรับหวยจากเจ๊พัช แต่ครูบอกว่าซื้อจากป้าบ้าบิ่น ตัวเจ๊เกียวบอกว่าตอนครูมาเอาหวยคนเห็นเป็นพยานเยอะแยะ มีทั้งข้าราชการใส่เสื้อเหลืองอยู่ที่แผงด้วย แต่ครูเองบอกว่าวันนั้นรีบไปเอาหวย ตอนไปเอายังไม่มีใครที่แผงเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับย้ำว่าซื้อ 726 ก่อนใครเขา แค่สองสามช็อตนี้ ผมว่าควรไปตกลงกันให้ดีเสียก่อนนะครับ ผู้รู้บางท่านบอกว่า ที่ครูกับพยานเคยคุย เคยให้สัมภาษณ์อะไรไปนั้น เอามาใช้ยืนยันไม่ได้ ต้องเอาจากคำให้การในสำนวนการสอบสวนเท่านั้น ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเป็นเรื่องของครูกับพยานครูล้วนๆ คลิปเสียงที่ถูกปล่อยออกมา ครูกับป้าบ้าบิ่นและพยานทุกคน จะออกมาปฏิเสธก็เป็นสิทธิครับ จะบอกว่าเป็นดาราตลกเลียนเสียงคุยกันก็ไม่มีใครว่าครับ แต่บทสนทนาที่คนได้ยินกันทั้งประเทศนั้น เป็นเนื้อหาที่คนสองคนเท่านั้นที่รู้ลึกแล้วคุยกันแบบเป็นธรรมชาติจริงๆ ส่วนดาราตลกที่เลียนเสียงสร้างความเฮฮานั้น เขาพูดแต่เรื่องพื้นๆ ไม่ลงลึกในรายละเอียดหรอกครับ”

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ