ข่าว

บุกจับเต็นท์รถมือสองย่านกาญจนาภิเษก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผู้การฯ 191 นำกำลังบุกจับเต็นท์รถมือสองย่านถนนกาญจนาภิเษก หลังมีผู้เสียหายกว่า 100 รายร้องเรียนถูกย้อมแมวขาย ตำรวจแจ้ง 7 ข้อหา พร้อมยึดรถ 24 คันดำเนินคดี

 

          จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 เข้าจับกุมเต้นท์รถมือสอง ย่านถนนกาญจนภิเษกฯ หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า เต็นท์รถดังกล่าวมีพฤติกรรมหลอก โดยมีการร้องเรียนเข้ามามากว่า 100 ราย ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

          ล่าสุดวันนี้ 22 ส.ค. 2560 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.สปพ. พร้อมตำรวจบก.สปพ. ตำรวจ บก.ทท. ตำรวจบก.ปคบ. ตำรวจ สน.หลักสอง เจ้าหน้าที่หน้ากองพิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้ากรมขนส่งทางบก และเจ้าหน้าที่ สคบ. นำหมายค้นศาลอาญา ธนบุรี เลขที่ ค174/60 ลงวันที่ 22 ส.ค. 2560  เข้าตรวจค้น เต็นท์รถคาร์พาร์ค ภายในศูนย์รวมรถยนต์พีจี ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพฯ

 

บุกจับเต็นท์รถมือสองย่านกาญจนาภิเษก

 

          ที่เกิดเหตุเป็นเต็นท์รถคาร์พาร์ค  อยู่บริเวณด้านหลังศูนย์รวมรถยนต์ดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อที่จำนวน 4 ล็อค จอดรถได้มากกว่า 100 คัน มีห้องทำงาน 2 ห้อง  ภายในพบ น.ส ทัศนีย์ เช้าเจริญประกิจ อายุ 38 ปี เจ้าของเต้นท์รถ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แสดงหมายค้น พร้อมกับหมายจับศาลอาญาธนบุรี เลขที่ 508/2560 ลงวันที่ 21 ส.ค.60 ในข้อหา “ทำให้เสียหาย ทำลาย และเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น” ซึ่งน.ส.ทัศนีย์ ตกเป็นผู้ต้องหา จากการตรวจสอบพบว่าเต็นท์ดังกล่าวมีรถยนต์ทั้งหมด 83 คัน ชุดสืบสวนได้ทำการตรวจสอบหาหลักฐาน เกี่ยวกับ สมุดคู่มือจดทะเบียน ตรวจสอบ เลขตัวถังของรถแต่ละคันที่อยู่ภายในเต็นท์ ดูการเสียภาษี ดูการทำสัญญาการซื้อขายกับลูกค้า

 

 

 

บุกจับเต็นท์รถมือสองย่านกาญจนาภิเษก

 

          พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนว่าเต็นท์รถดังกล่าวมีพฤติกรรมหลอกผู้เสียหาย โดยมีการร้องเรียนเข้ามามากว่า 100 ราย ขณะนี้มีผู้เสียหายเดินทางเข้าให้ข้อมูลกว่า 50 ราย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบก.สปพ. ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ ก่อนสอบปากคำรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นและหมายจับผู้ต้อง อีกทั้งพร้อมบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งบก.ทท. บก.ปคบ. กรมขนส่งทางบก กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบ  เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่ามีรถ 24  คันจากทั้งหมด 83 คันที่เข้าข่ายการกระทำความผิด โดยแบ่งเป็น 18 คัน พบความผิดไม่ชำระภาษี และ 5 คันไม่ติดแผ่นป้ายการเสียภาษี

 

บุกจับเต็นท์รถมือสองย่านกาญจนาภิเษก

 

          พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นยังพบรถยนต์ 1 คัน ใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอมที่ไม่ได้ออกโดยกรมการขนส่งทางบก ซึ่งรถทั้งหมดนี้จะต้องตรวจสอบหาที่มาที่ไปอย่างละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง ว่าทางเต็นท์ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก่อนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องกันต่อไป สำหรับคดีนี้ทาง น.ส.ทัศนีย์ อ้างว่า ไม่ได้กระทำความผิดใดๆ ตำรวจจะให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย เรื่องนี้จึงจำเป็นจะต้องทำการตรวจสอบ โดยทุกภาคส่วนที่เดินทางมาปฏิบัติงานในวันนี้จะต้องทำความจริงให้ปรากฏ  หลังจากนี้จะดำเนินการตรวจสอบเต็นท์รถมือสองในหลายพื้นที่ เนื่องจากเรื่องรถยนต์มือสองเป็นเรื่องที่นำไปสู่การเกิดอาชญากรรมอื่นๆตามมา จึงฝากไปถึงผู้ประกอบการธุรกิจรถมือสองว่าให้ทำอย่างถูกต้อง ไม่ควรเอารัดเอาเปรียบประชาชน หรือผู้บริโภค

 

บุกจับเต็นท์รถมือสองย่านกาญจนาภิเษก

 

          ด้าน น.ส ทัศนีย์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า เปิดบริการเต็นท์ดังกล่าวมาแล้วกว่า 8 ปีแล้ว ยอมรับว่าเป็นเจ้าของเต็นท์รถคาร์พาร์คแห่งนี้ ตามที่เป็นตกเป็นข่าวในโลกโซเชียล ตนขอเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้มีผู้มาซื้อรถยนต์ของตนเองเป็นรถยนต์ เซฟโรเล็ต รุ่นแคปติวา โดยทำสัญญาซื้อขายกัน จากนั้นเมื่อถึงวันรับรถ ผู้ซื้อได้มารับรถเป็นเครื่องเบนซิน แต่ลูกค้าเข้าใจว่าได้เครื่องดีเซล ทำให้เกิดความไม่พอใจ หาว่าผิดสัญญา จึงทำให้เกิดมีปากเสียงกันขึ้น โดยผู้ซื้อด่าทอตนว่าเป็น “ขี้โกง” การขายรถยนต์ดีเซล จะมีราคาที่สูงกว่า และไม่สามารถซื้อขายในราคานี้ได้ จึงทำให้ลูกค้าไม่พอใจ อีกทั้งตนโมโหมากจึงทำการเดินไปฉีกสัญญาซื้อขายอีกด้วยจนเป็นข่าวขึ้นมา ซึ่งอยากขอความเป็นธรรมเช่นกัน เพราะตนก็ทำอาชีพสุจริต บางครั้งรถมีปัญหาจากเต็นท์ ตนก็ดูแลเพราะรับประกัน 3 เดือน

 

บุกจับเต็นท์รถมือสองย่านกาญจนาภิเษก

 

          ต่อมาเมื่อเวลา 17.30 น. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.สปพ. พร้อมคณะได้เดินทางไปที่ สน.หลักสอง หลังมีข้อมูลว่า ผู้เสียหายที่ทราบข่าวต่างพากันเดินทางไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนอีกเป็นจำนวนมาก เบื้องต้นพบผู้เสียหายทั้งชายและหญิง รวม 13 คน พากันหอบเอกสารที่เกี่ยวข้องเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ดำเนินคดีกับ น.ส.ทัศนีย์ เช้าเจริญประกิจ อายุ 38 ปี เจ้าของเต็นท์ ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน

 

บุกจับเต็นท์รถมือสองย่านกาญจนาภิเษก

 

          จากการสอบถาม น.ส.กัลยา ศิริสิทธิ อายุ 25 ปี อาชีพมัคคุเทศก์ หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปจองรถยนต์มือสอง ยี่ห้อเชพโรเลต รุ่นแคปติว่า จากเต็นท์ดังกล่าว โดยมี น.ส.ทัศนีย์ เป็นผู้รับเรื่อง ให้ตนวางเงินมัดจำเอาไว้ จำนวน 5,000 บาท แต่พอถึงวันไปทำสัญญาซื้อและรับสินค้า รถคันที่เต็นท์นำมาให้กลับมีสเป็คไม่ตรงตามรุ่นที่ตกลงกันไว้แต่แรก ตนจึงขอเงินมัดจำคืนหลายครั้ง แต่ น.ส.ทัศนีย์ ก็บ่ายเบี่ยงไม่ให้เงินคืน โดยอ้างว่าจะพยายามหารถรุ่นที่ตรงตามข้อตกลง ก่อนวางเงินมัดจำมาให้ กระทั่งเห็นข่าวว่าตำรวจบุกเข้าจับ น.ส.ทัศนีย์ เอาไว้แล้วจึงตัดสินใจเดินทางมาแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน

 

บุกจับเต็นท์รถมือสองย่านกาญจนาภิเษก

 

          มีรายงานว่าชุดสืบสวนอยู่ระหว่างการขยายผล เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับสองผู้ต้องคือ นายเอ็ม และนายกี้ (นามสมมุติ) หลังชุดสืบสวนพบว่า มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการหลอกผู้เสียหาย ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหายรายหนึ่งที่ให้การว่า ได้เข้าไปดูรถยนต์คันหนึ่งผ่านเพจของเต็นท์รถแห่งนี้ ซึ่งตนให้ความสนใจได้สอบถามรายละเอียดเบื้องต้น จากนั้นทางเต็นท์ก็ได้โทรศัพท์มาเพื่อชักชวนให้มาดูรถที่เต็นท์ ตนก็ได้เดินทางไปก็ได้มีการเจอกับนายเอ็มและนายกี้ ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ก่อนที่ทางเต็นท์จะเสนอว่าให้วางเงินมัดจำไว้จำนวน หนึ่ง  พร้อมกับยื่นเอกสารหลักฐานกับทางสินเชื่อ โดยทางเต็นท์ระบุว่า 3 วัน จะทำเรื่องอนุมัติเสร็จ กระทั่งถึงเวลานัดหมายทางเต็นท์โทรศัทพ์มาบอกว่าสินเชื่อไม่ผ่านไฟแนนซ์ไม่อนุมัติ และไม่ให้เงินมัดจำคืน ซึ่งก็ไม่ได้เอะใจอะไรกระทั่งได้สอบถามไปยังสถาบันการเงินว่ามีชื่อของตนอยู่ในระบบขอสินเชื่อหรือไม่ ก็พบว่าไม่มีการทำเรื่องเข้าไป จึงเชื่อว่าถูกหลอก จึงได้ตัดสินใจแจ้งความ

 

บุกจับเต็นท์รถมือสองย่านกาญจนาภิเษก

 

          นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า คดีนี้มีผู้เสียหายเป็นนายทหารยศพลเอกรายหนึ่ง ได้มาซื้อรถฮอนด้ารุ่นแอคคอร์ด กับเต็นท์ดังกล่าว โดยเต็นท์ได้ระบุว่า รถคันนี้ผ่านการใช้งานมา 5 หมื่นกิโล นายทหารรายนี้จึงได้ตัดสินใจซื้อ กระทั่งนำรถไปเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบ ก็พบว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีเลขไมล์ 1.5 แสนกิโล จึงได้เข้าร้องทุกข์เช่นกัน

          เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้ง 7 ข้อหา ประกอบไปด้วย 1.เป็นผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ใช้แล้วไม่จัดให้มีหลักฐานการรับเงินให้ถูกต้อง  หรือมีหลักฐานการรับเงินแต่ไม่ส่งมอบหลักฐานการรับเงินที่มีข้อความและรายการที่ถูกต้องตาม ม.35 เบญจ ให้แก่ผู้บริโภคภายในเวลาตาม ม.35 อัฎฐ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามพรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้วเป็นธุรกิจที่ควบคุมตามรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ.2550 ต้องระวางโทษตาม ม. 57 (จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสน หรือทั้งจำและปรับ),2.เป็นผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ใช้แล้ว โดยไม่มีฉลากสินค้าหรือมีฉลากแต่ฉลากไม่ถูกต้องตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลากฉบับที่ 35 เรื่องให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าควบคุมฉลาก ลงวันที่ 14 มิ.ย. 56 เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 30,31 แห่งพรบ.คุ้มครองผู้บริโภค ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ ,3.ฉ้อโกงประชาชน ,4.ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม 5.ความผิดตามพรบ.ค้าของเก่า ในเรื่องของใบอนุญาตขาดอายุ 6.นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และ7.ทำให้เสียหาย ทำลาย และเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ