ข่าว

มือฆ่าครูซึมอดอภัยโทษ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

มือฆ่าปาดคอครูสาวเมืองสระบุรี สารภาพแอบชอบหวังข่มขืนชิงทรัพย์ แต่เหยื่อขัดขืนจึงลงมือ แยกขังป้องกันรุมสกรัม ก่อคดีอาญาซ้ำจัดเป็นนักโทษชั้นเลวหมดสิทธิ์ได้อภัยโทษ

 

               เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1) พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง รองผบช.ภ.1 พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ รอง ผบช.ภ.1 พ.ต.อ.ไพโรจน์ ตรีโสภณ ผกก.สภ.แก่งคอย ร่วมแถลงข่าวจับกุมนายชาตรี ร่วมสูงเนิน อายุ 27 ปี ชาว จ.สระบุรี พนักงานโรงงานปูนแห่งหนึ่ง ผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พร้อมของกลางมีดยาว 5-6 นิ้ว 1 เล่ม เสื้อที่ใช้ก่อเหตุ 1 ตัว หลังก่อเหตุฆ่าปาดคอ น.ส.จุฬารัตน์ โทวรรณา หรือครูอิ๋ว อายุ 27 ปี ครูโรงเรียนแสงวิทยา อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เหตุเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

 

มือฆ่าครูซึมอดอภัยโทษ

 

               พล.ต.ท.ชัยวัฒน์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและเชื่อว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนรู้จักและอยู่ในละแวกใกล้เคียงที่เกิดเหตุ จึงตรวจสอบประวัติผู้อยู่อาศัยบ้านเช่าดังกล่าวย้อนหลัง จนพบผู้ต้องสงสัย เนื่องจากพบว่านายชาตรีเคยข่มขืนภรรยาเพื่อนเมื่อปี 2556 ก่อนจะถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 8 เดือน และเพิ่งพ้นโทษมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2558 ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้นายอาร์ม (สาวประเภทสอง) ซึ่งเป็นแฟนของนายชาตรี ติดต่อให้กลับมายังบ้านเช่าดังกล่าว เมื่อนายชาตรีกลับมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตเห็นหลังมือซ้ายมีบาดแผลคล้ายมีดบาดและเลือดยังไหลไม่หยุด ประกอบกับเมื่อสอบปากคำพบพิรุธ โดยนายชาตรีอ้างว่า แผลดังกล่าวเกิดจากห้างร้านตกใส่ แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อเค้นสอบอย่างหนักกระทั่งรับสารภาพ

 

มือฆ่าครูซึมอดอภัยโทษ

 

               พล.ต.ท.ชัยวัฒน์กล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าวเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญมาก เนื่องจากเหตุเกิดจากคนใกล้ตัว บ้านใกล้เรือนเคียง ปกติบ้านเช่าดังกล่าวจะมีแต่พวกครูที่ทำงานที่เดียวกันอาศัยอยู่ จึงรู้จักกันดี มีเพียงไม่กี่ห้องที่มีคนนอกอยู่ จากการสอบถามทราบว่า ในวันเกิดเหตุช่วงหัวค่ำมีเพื่อนครูมาร่วมรับประทานอาหารที่ห้องของผู้ตายและยังชวนนายชาตรีร่วมรับประทานอาหารด้วย แต่นายชาตรีปฏิเสธ โดยไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น อย่างไรก็ตามอยู่ระหว่างรอผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อความชัดเจนทางคดีต่อไป

 

มือฆ่าครูซึมอดอภัยโทษ

 

               จากการสอบสวน นายชาตรี ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า บ้านเช่าหลังที่อยู่เดิมนั้น นายอาร์ม (สาวประเภทสอง) เช่าอยู่เพียงคนเดียวก่อนที่ตนจะมาขออาศัยและขอช่วยหารค่าห้อง ซึ่งอยู่ด้วยกันประมาณ 6 เดือน และรู้จักกับผู้ตายได้ 4 เดือน ทุกครั้งที่เจอก็จะทักทายพูดคุยกันเสมอ เนื่องจากผู้ตายเป็นคนอัธยาศัยดีจึงเริ่มรู้สึกชอบผู้ตาย วันเกิดเหตุประมาณ 22.00 น. ออกไปซื้อของข้างนอก และเครียดที่เงินเดือนยังไม่ออก เมื่อเดินผ่านห้องผู้ตายพบว่าประตูไม้หน้าห้องเปิดอ้าอยู่ เหลือเพียงประตูเหล็กที่มีมุ้งลวดติดอยู่ จึงลองผลักเข้าไป หวังจะลักทรัพย์และข่มขืน ปรากฏว่าประตูไม่ได้ล็อก จึงเดินเข้าไป แต่กลับสะดุดปลั๊กสายไฟทำให้ผู้ตายรู้ตัวสะดุ้งตื่น และร้องกรี๊ด พร้อมตะโกนขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ตนหันไปเห็นมีดวางอยู่บนชั้นวางของจึงหยิบมาปาดคอผู้ตายจนแน่นิ่งไป

 

มือฆ่าครูซึมอดอภัยโทษ

 

               นายชาตรีให้การต่อว่า จากนั้นเดินออกจากห้องผู้ตายทางประตูหน้า และเดินอ้อมไปเข้าห้องเช่าของตัวเองทางประตูหลัง ก่อนจะอาบน้ำชำระคราบเลือดที่ติดอยู่ ซึ่งขณะนั้นเห็นว่ามีบาดแผลที่มือและเลือดไหลไม่หยุด จึงนำเสื้อตัวที่ใส่ก่อเหตุพันไว้ จากนั้นก็นอนหลับและรุ่งเช้าก็ไปทำงานตามปกติ ก่อนจะได้รับการติดต่อจากแฟนให้กลับมาที่ห้องและพบกับตำรวจ ทั้งนี้ยืนยันว่ายังไม่ได้ข่มขืนผู้ตาย แต่ที่เสื้อนอนถลกขึ้นนั้นเกิดจากขณะต่อสู้และอยากจะขอโทษผู้ตายและครอบครัวผู้ตายในสิ่งที่ทำลงไป ที่ตนใช้ชีวิตปกติ เพราะคิดว่าจะไปมอบตัวภายหลัง

 

มือฆ่าครูซึมอดอภัยโทษ

 

               ทั้งนี้เจ้าหน้าที่นำผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.แก่งคอยดำเนินคดี ในส่วนการทำแผนประกอบคำรับสารภาพนั้น มอบให้ พล.ต.ต.ธิติ แสงสว่าง ผบก.ภ.จว.สระบุรี เป็นผู้ประเมินสถานการณ์ เนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้ต้องหา หลังจากที่เมื่อวานนี้ (3 ก.ค.) ต้องล้มเลิกมาครั้งหนึ่งแล้ว เนื่องจากมีชาวบ้านนับพันคนมารอรุมประชาทัณฑ์ด้วยความโกรธ

               ต่อมาเมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร รวมทั้งหมดประมาณ 80 นาย เข้ามายังบริเวณที่เกิดเหตุ พร้อมกันประชาชนจำนวนมากที่มารอดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพให้ถอยห่างออกไปจากรั้ว โดยเจ้าหน้าที่ยืนกระจายเป็นวงกลม ขณะเดียวกัน ประชาชนต่างส่งเสียงด่าทอคนร้ายเป็นระยะๆ พร้อมชูป้ายเรียกร้องให้ประหารชีวิตคนร้าย แต่แล้วในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็ต้องยกเลิกการทำแผนประกอบคำรับสารภาพอีกครั้ง เนื่องจากต้านกระแสพลังประชาชนไม่ไหว เกรงจะเกิดอันตรายต่อผู้ต้องหา

 

มือฆ่าครูซึมอดอภัยโทษ

 

               วันเดียวกัน นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กำกับดูแลกลุ่มภารกิจพัฒนาพฤตินิสัย กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับรายงานจากเรือนจำว่า หากได้รับตัวผู้ต้องหาเรือนจำจะแยกการคุมขังนายชาตรี ร่วมสูงเนิน ผู้ต้องหาคดีนี้ เพื่อไม่ให้ถูกผู้ต้องขังอื่นๆ ที่ทราบข่าวพฤติการณ์ที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญรุมทำร้ายร่างกายในเรือนจำ โดยเรือนจำจัดให้มีนักโทษที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเหลือผู้คุมดูแลใกล้ชิด สำหรับผู้ต้องขังคดีข่มขืนจัดเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง เพราะคนปกติจะไม่ก่อคดีเช่นนี้ เว้นแต่มีอาการมึนเมายาเสพติด ในเรือนจำจึงจัดให้มีโปรแกรมบำบัดและพัฒนาจิตใจนักโทษกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นโปรแกรมเดียวกับการบำบัดรักษาของเรือนจำในต่างประเทศ แต่การบำบัดฟื้นฟูของไทยยังทำได้ไม่เต็มที่ เพราะขาดแคลนนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ จึงจัดโปรแกรมบำบัดได้เพียงเรือนจำในเขต กทม.ไม่ครอบคลุมถึงเรือนจำในต่างจังหวัด

               สำหรับนายชาตรีเคยต้องโทษฐานความผิดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น ก่อเหตุในพื้นที่ จ.สระบุรี ศาลตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 4  กุมภาพันธ์ 2557 พ้นโทษจำคุก 4 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งนายชาตรีต้องโทษในเรือนจำจังหวัดสระบุรีถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 จึงถูกย้ายไปเรือนจำจังหวัดปทุมธานีเพื่อฝึกวิชาชีพ ต่อมาได้รับการอภัยโทษในโอกาสพิเศษ 4 เดือน 24 วัน คงเหลือโทษจำคุก 1 ปี 7 เดือน 6 วัน พ้นโทษออกจากเรือนจำเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 เมื่อนายชาตรีก่อคดีอาญาซ้ำและถูกส่งตัวเข้าเรือนจำอีกครั้ง จะถูกจัดเป็นนักโทษชั้นเลว เนื่องจากกระทำความผิดซ้ำภายในเวลา 5 ปี และจะไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ

               ทั้งนี้จากสถิตินักโทษเด็ดขาดของกรมราชทัณฑ์แยกตามลักษณะความผิด คดีความผิดเกี่ยวกับเพศมีทั้งสิ้น 4,391 คดี แบ่งเป็นนักโทษชาย 3,406 ราย นักโทษหญิง 985 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.68

 

มือฆ่าครูซึมอดอภัยโทษ

 

               ด้าน พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติของนายชาตรีพบว่า ขณะได้รับโทษจำคุก 2 ปีในคดีข่มขืน นายชาตรียื่นเรื่องขอพักการลงโทษโดยเรือนจำระบุว่ามีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ เพราะต้องโทษจำคุกแล้ว 2 ใน 3 แต่ในชั้นสืบเสาะพฤติกรรมพบว่าผู้ต้องขังรายนี้ไม่มีญาติมารับตัว จึงเสนอความเห็นไม่สมควรพักโทษ แต่ต่อมานายชาตรีได้รับการอภัยโทษในโอกาสพิเศษ จึงได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนด

               พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดปัญหาผู้พ้นโทษออกมาก่อคดีอาญาทำร้ายสังคมหนักขึ้น กรมคุมประพฤติจะแก้ระเบียบ ดึงอำนาจการสืบเสาะเพื่ออนุมัติพักโทษ ซึ่งเคยกระจายอำนาจให้แก่ ผอ.สำนักงานคุมประพฤติจังหวัด กลับมายังอธิบดีกรมคุมประพฤติ เพื่อให้การพักโทษหรือปล่อยตัวก่อนครบกำหนดโทษผ่านการตรวจสอบอย่างรัดกุม และเพื่อไม่ให้การคืนคนดีสู่สังคมกลายเป็นการคืนคนที่เลวกว่าเดิมกลับให้สังคม

               ขณะที่ นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กล่าวถึงคดีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับทางเพศในกลุ่มเยาวชนว่า กรมพินิจฯ มีโปรแกรมติดตามพฤติกรรมของเยาวชนที่กระทำความผิดทุกประเภท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติด คดีฆาตกรรม และคดีประเภทอื่นๆอยู่แล้ว ส่วนคดีความผิดทางเพศนั้นไม่ติด 1 ใน 5 ของเยาวชนที่กระทำความผิด ซึ่งพบว่ามีเพียง 10% เท่านั้น

               อย่างไรก็ตาม หลังจากกรมพินิจฯ ได้นำระบบจัดทำแผนให้คำปรึกษาแนะนำติดตามดูแลเด็กและเยาวชนเฉพาะรายตั้งแต่เริ่มเข้ามาในศูนย์หรือระบบ IRC (Individual Routing Counselor) เข้ามาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในกลุ่มเด็กที่ความเสี่ยงสูง พบว่ามีเด็กกลับไปทำความผิดซ้ำไม่ถึง 2% ในภาพรวมถือว่าสามารถแก้ปัญหาการกระทำผิดซ้ำได้ดีขึ้น แต่ในส่วนของเรือนจำสภาพปัญหามากกว่ากรมพินิจฯ หลายเท่าตัว การจัดโปรแกรมบำบัดฟื้นฟูจึงทำได้ยากกว่า

 

'นายกฯ' ไม่เห็นด้วยประหารคดีข่มขืน

               พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสให้ลงโทษประหารชีวิตผู้ก่อเหตุในคดีนี้ว่า ให้กลับไปดูทั่วโลกว่าเขาว่าอย่างไร อย่าไปคิดเอาเอง วันนี้อย่าลืมว่าเราอยู่กับกฎหมายโลก กฎหมายระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชน ทั่วโลกยกเลิกการประหารชีวิตกี่ประเทศแล้ว ของเราประหาร 3 ครั้งก็ยังแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ที่ผ่านมาก็ใช้ในทุกมาตราแล้ว ทั้งกฎหมายปกติ และมาตรา 44 ซึ่งไม่มีอะไรแรงไปกว่านี้ ก็ยังไม่กลัวกันเลย ถ้าให้มีการประหารชีวิตก็คงต้องประหารสัก 3 ชาติ ถึงจะกลัว อย่ามาใช้กฎหมายจนเสพติด อย่าไปเสพติดกฎหมายจนไปสู่อำนาจ ไปสู่ผลประโยชน์ อย่าไปเสพติดแบบนั้น ขอให้ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ดีกว่า สังคมก็ต้องช่วยกันกดดัน นักข่าวก็ต้องช่วยกันประณาม สื่อต้องช่วยตนในการกดดันคนที่ทำความผิดเหล่านี้ให้มันสงบ อย่าปล่อยให้มีปากมีเสียงอยู่ได้

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ