ข่าว

ปศุสัตว์เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ปศุสัตว์เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีดอย่าหลงเชื่อคำชักชวนให้ใช้ยาปฏิชีวนะรักษาจิ้งหรีดป่วย

                 นายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้สนใจทำการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดเพื่อการค้าเพิ่มมากขึ้น  เนื่องจากปริมาณความต้องการของตลาดผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี  เนื่องจากจิ้งหรีดเป็นแมลงที่เลี้ยงง่าย  จึงได้มีการพัฒนา ศึกษา คิดค้น ปรับปรุงพันธุ์ และวิธีเลี้ยง  เพื่อให้ได้จิ้งหรีดที่เข้มแข็ง  โตเร็ว  และเพิ่มจำนวนต่อรุ่นของการผลิตให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในพื้นที่ที่มีอยู่  อย่างไรก็ตามจิ้งหรีดอาจมีโอกาสป่วยเป็นโรคได้จากหลายสาเหตุ หลายปัจจัย 

               อาทิ  โรคไม่ติดเชื้อ  หรือโรคติดเชื้อที่ระบาดตามธรรมชาติ  ระบบสุขอนามัยหรือการสุขาภิบาลที่ไม่ดี การเลี้ยงที่แออัดมากเกินไป  ประกอบกับสภาพอากาศที่มีความแปรปรวน  ร้อนเกินไป  หนาวจัด  น้ำท่วม  ทำให้จิ้งหรีดเกิดความเครียด  อ่อนแอ  ป่วยและล้มตาย  เมื่อมีการตายอย่างผิดปกติ  ผู้เลี้ยงมักจจะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะในการแก้ปัญหาเป็นอันดับแรก  บางรายอาจคิดว่าสามารถใช้ยาปฏิชีวนะเป็นตัวกระตุ้นให้จิ้งหรีดเจริญเติบโตเร็วขึ้นได้ 

             ที่ผ่านมาพบว่ามีการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะ  ยาลดไข้  ยาแก้แพ้ หรือยาบำรุงกำลัง  ละลายน้ำหรือผสมอาหารให้จิ้งหรีดกินเพื่อเป็นการรักษาและป้องกันโรค   แต่จากการที่สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ  กรมปศุสัตว์ได้ทำการพิสูจน์หาสาเหตุการตายอย่างผิดปกติของจิ้งหรีด  ตั้งแต่ปี  2555  ถึง ปัจจุบัน  พบว่าส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสสองชนิด ได้แก่  Cricket irido virus  ที่ทำให้เกิดโรคท้องบวม และ Cricket paralysis virus  ที่ทำให้เกิดโรคอัมพาตจิ้งหรีด  ซึ่งยังไม่มียาที่ใช้ในการรักษา 

                 อธิบดีกรมปศุสัตว์  กล่าวเพิ่มเติมว่า  การใช้ยาปฏิชีวนะในจิ้งหรีด  นอกจากการรักษาจะไม่ได้ผลแล้ว  ยังเป็นการเพิ่มต้นทุน และทำให้เกิดยาปฏิชีวนะตกค้างส่งผลให้เกิดเชื้อดื้อยาในสิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคได้  ดังนั้น เมื่อพบการตายที่ผิดปกติของจิ้งหรีดควรปรึกษาสัตวแพทย์  หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยง   ข้อควรปฏิบัติ  คือ  เก็บตัวอย่างจิ้งหรีดบ่อที่ป่วยตาย  ทั้งตัวเป็นและตัวตาย  รวมกันไม่น้อยกว่า 50  ตัว  ใส่ถุงพลาสติก รัดปากถุงให้แน่น  รีบแช่เย็นและนำส่งห้องปฏิบัติการของสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ  หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตว์แพทย์ประจำภูมิภาค  เก็บจิ้งหรีดป่วย  วัสดุหลบซ่อน และเศษซากที่เหลือ  นำไปเผาหรือฝังดินกลบให้ลึกไม่น้อยกว่า  2  เมตร   กันสัตว์ชนิดอื่นมาขุดคุ้ยโรยทับด้วยปูนขาวทั้งก่อนและหลังกลบ  ทำความสะอาดบ่อเลี้ยงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์เท่านั้น  ทิ้งไว้ให้แห้งหรือนำไปตากแดด (ขึ้นกับวัสดุที่ใช้ในการทำบ่อเลี้ยง)  และพักการใช้บ่อเลี้ยงอย่างน้อย  3  เดือน 

                  หากวัสดุที่ใช้ในการทำบ่อเลี้ยงมีลักษณะเป็นรูพรุนมักไม่ประสบผลสำเร็จในการทำความสะอาดมีความจำเป็นต้องทำลายทิ้ง  ไม่ควรนำไข่จิ้งหรีดจากชุดที่ป่วยไปขาย  หรือขยายพันธุ์ต่อเพราะจะมีเชื้อไวรัสติดไปกับผิวของเปลือกไข่  จะทำให้โรคเกิดการแพร่ระบาดขยายวงกว้างขึ้น  ควรทำลายทิ้งเช่นเดียวกับที่ทำลายซากจิ้งหรีดป่วย  หรือวัสดุหลบซ่อน  ก่อนที่จะนำไข่จิ้งหรีดชุดใหม่เข้ามาเลี้ยง  ควรทำการสุ่มส่งตรวจหาเชื้อไวรัสทั้งสองชนิดจากห้องปฏิบัติการที่ใกล้เคียง  ลงบันทึกประวัติการป่วย ตาย และการจัดการในสมุดบันทึกข้อมูลของฟาร์ม  เพื่อประโยชน์ในการสืบค้น  หลังจากที่ได้รับผลการตรวจยืนยัน  ให้ปรึกษา  ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและปรับระบบการเลี้ยงใหม่ให้เหมาะสม

                “ สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่างหลงเชื่อคำแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะผสมในอาหาร หรือน้ำให้จิ้งหรีดกิน เพราะยังไม่มีการศึกษา หรือพิสูจน์ในเรื่องผลของการรักษาหรือช่วยในการเจริญเติบโต  และยาอาจไปทำลายแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในทางเดินอาหารของจิ้งหรีดทำให้ระบบการย่อยอาหารผิดปกติได้  หากมีข้อสงสัยเรื่องโรคจิ้งหรีดสอบถามได้ที่  สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ  0 – 2579 – 8908 -14  ต่อ  406 ในวันและเวลาราชการ ”  อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าว

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ