ข่าว

วทันยา ชี้ ถึงเวลาเลือก ต่อสัมปทานหรือเปิดประมูลใหม่ "BTS สายสีเขียว"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เดียร์ วทันยา ชี้ ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี ถึงเวลาเลือกขยายสัมปทานหรือชำระหนี้แล้วเปิดประมูลใหม่ "BTS สายสีเขียว" ไม่ใช่หยุดอยู่กับที่ ส่วนรัฐมนตรีที่เลือกวิธีการบอยคอตการประชุม ควรพิจารณาตนเองว่ายังสามารถเป็นแบบอย่างของผู้นำที่ดี และควรร่วมรัฐบาลต่อหรือไม่

น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีการขยายสัมปทาน "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" โดยระบุว่า จะขยายสัมปทาน หรือ ชำระหนี้ จะแบบไหนเลือกเอาสักทาง ผู้นำที่ดีต้องกล้าตัดสินใจแก้ปัญหา "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ทางใดทางหนึ่งไม่ว่าจะขยายสัมปทานหรือ ชำระหนี้สินแล้วเปิดประมูล ไม่ใช่เล่นเกมการเมืองด้วยการบอยคอตไม่มาประชุม เพราะสุดท้ายแล้วประชาชนคือคนที่ต้องแบกรับภาระ 

 

พร้อมสรุปที่มาที่ไปของเรื่องราวไว้ว่า การขยายสัมปทาน"รถไฟฟ้าสายสีเขียว"ที่ปัจจุบันบีทีเอสเป็นผู้ดำเนินกิจการออกไปอีก 30 ปี (ถึงปี 2602) เริ่มต้นมาจาก เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2561 รฟม.มีมติโอนสิทธิการดำเนินกิจการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงส่วนต่อขยาย ( ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต  - สะพานใหม่ - คูคต) ให้กับ กทม. เพื่อให้การบริหารงาน "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ทั้งในส่วนเดิม หรือที่นิยมเรียกว่า ส่วนไข่แดง และส่วนต่อขยายนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานเดียวกันเพื่อให้เกิดความสอดคล้องในการดำเนินงาน ซึ่งการรับโอนกิจการจาก รฟม. นี้ทำให้ กทม. เกิดภาระผูกพันเพราะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนค่าก่อสร้างและดอกเบี้ยเดิมของ รฟม.จำนวน 69,105 บาท (เงินต้น 55,704 ล้านบาท และดอกเบี้ย 13,401 ล้านบาท) 

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" เพราะหากดูตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กทม.ควรจะเปิดประมูล "รถไฟฟ้าสายสีเขียว"ช่วงส่วนต่อขยายนี้ให้แก่ผู้ที่สนใจลงทุนในอนาคตเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ แต่ข้อเท็จจริงของชีวิตมักไม่ได้โลกสวยเหมือนที่เราวาดภาพฝันไว้เพราะการประมูลสัมปทานดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ กทม.มีศักยภาพในการชำระต้นทุนค่าก่อสร้างและดอกเบี้ยด้วยตนเอง ซึ่งต่อให้ไม่เกิดเหตุการณ์โควิด19 ที่หน่วยงานภาครัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายเหมือนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน กทม.เองก็ไม่มีศักยภาพในการชำระค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอยู่แล้ว 

 

นอกจากนี้สัญญาที่จะเปิดประมูลใหม่นั้นเป็นการเปิดประมูลเฉพาะในช่วงส่วนต่อขยาย (ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต  - สะพานใหม่ - คูคต)  ในขณะที่สัมปทาน"รถไฟฟ้าสายสีเขียว"ยังคงเป็นของบีทีเอส และบีทีเอสยังมีสัญญารับจ้างเดินรถไฟฟ้าระหว่าง กทม-บีทีเอส อีกจนถึงปี 2585

 

ดังนั้นการเปิดประมูลสัมปทานเฉพาะในช่วงส่วนต่อขยายจึงยากที่จะสามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนใหม่ เพราะจำนวนผู้โดยสารที่ใช้ในช่วงส่วนต่อขยายจะมีจำนวนที่น้อยกว่าช่วงไข่แดง อีกทั้งบีทีเอสเป็นบริษัทที่เป็นผู้เริ่มลงทุน "รถไฟฟ้าสายสีเขียว"มาตั้งแต่ต้น การแข่งขันในแง่ของต้นทุนจึงมีความได้เปรียบกว่าผู้ประกอบการรายใหม่ ในอีกทางหนึ่งก็คือ บีทีเอสจะสามารถบริหารต้นทุนได้ประหยัดมากที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ 
 

น.ส.วทันยา ระบุว่า ด้วยข้อเท็จจริงของอุปสรรคที่เกิดขึ้นรัฐบาลและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องซึ่งก็คือ กทม. มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาจึงเป็นที่มาของการตั้งโต๊ะเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน จนออกมาเป็นเงื่อนไขการขยายระยะเวลาสัมปทานให้กับบีทีเอสออกไปเป็นจำนวน 30 ปี โดยมีเงื่อนไขหลักๆดังนี้ 

 

- หนี้ค่าก่อสร้างพร้อมดอกเบี้ยที่ กทม.รับภาระมาจาก รฟม.ทั้งหมดจำนวน 69,105 ล้านบาท จะถูกโอนไปเป็นภาระของบีทีเอสเป็นผู้รับผิดชอบ 

 

- สัญญาจ้างเดินรถเดิมระหว่าง กทม.-บีทีเอส ที่ยังเหลือเวลาอยู่อีก 20 ปี รวมถึงค่าจ้างเดินรถเดิมตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันมูลค่า 37,000 ล้านบาทจะถูกยกเลิก โดยให้ถือรวมเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาสัมปทานแล้ว 

 

- บีทีเอสต้องคุมค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสาย (จากสถานีต้นทางจนถึงปลายสุด) ให้ไม่เกิน 65 บาทตลอดระยะเส้นทาง  

 

- ระหว่างการดำเนินกิจการบีทีเอสจะต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ตลอดระยะเวลาสัมปทานให้ กทม.

 

น.ส.วทันยา ทิ้งท้ายว่า หน้าที่ของผู้นำและผู้บริหารที่ดีคือการเดินหน้าแก้ไขปัญหาเพื่อหาทางออก ไม่ว่าการแก้ไขปัญหาจะเลือกทางเดินไหน ทั้งการขยายสัมปทาน หรือการเดินหน้าจัดการประมูลใหม่  อย่างน้อยที่สุด การก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่หยุดอยู่กับที่แล้วซุกปัญหาไว้ใต้พรม เพราะไม่ช้าหรือเร็วปัญหานั้นก็ต้องสะสมจนวนกลับมาอีกครั้งอยู่ดี และในท้ายที่สุดภาระของ กทม. ที่เกิดขึ้นก็คือภาษีที่ประชาชนต้องแบกรับ

 

ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริหารที่ดีพึงกระทำก็คือ การกล้าเผชิญปัญหาเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน จะยืดสัมปทานเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน บนระยะเวลาสัมปทานที่เป็นธรรมระหว่างรัฐและเอกชนพร้อมกับการกำหนดเงื่อนไขเพื่อปกป้องประชาชนจากการถูกขูดรีด ก็สามารถทำได้ หรือจะไม่ขยายเวลาสัมปทานแล้วเลือกจ่ายหนี้สินแทนก็ต้องตัดสินใจให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ใช่เลือกที่จะปล่อยให้ปัญหาคาราคาซัง ประชาชนเสียหาย รัฐมนตรีที่เลือกวิธีการบอยคอตการประชุมเพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ ก็ควรพิจารณาตนเองว่ายังสามารถเป็นแบบอย่างของผู้นำที่ดี และควรร่วมรัฐบาลต่อหรือไม่

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ