ศรีสุวรรณ ร้อง กกต.สอบ พล.อ.วิชญ์ เข้าข่ายครอบงำ"พรรคเศรษฐกิจไทย"หรือไม่

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นายศรีสุวรรณ  จรรยา เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ไต่สวน สอบสวนและวินิจฉัยกรณีที่มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ อาน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา โพสต์ข้อความข้อความเมื่อ 3 ก.พ.65 ใจความว่า ขอลาออกจากตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เพื่อรับหน้าที่หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย สานต่อนโยบายของพี่ป้อม นั้น ว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตาม ม.29 พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 เพราะบุคคลดังกล่าวยังไม่ปรากฎว่าได้เป็น"สมาชิกพรรคเศรษฐกิจไทย" แต่กลับกระทำการในลักษณะชี้นำหรือครอบงำ"พรรคเศรษฐกิจไทย "

แม้ในเวลาต่อมา แอดมินจะออกมาแก้ข่าวว่า มิได้เป็นการกระทำของ พลเอกวิชญ์ แต่อย่างใด แต่ตนเห็นว่าคำแก้ตัวดังกล่าวไม่สามารถรับฟังได้ เพราะโดยปกติเจ้าของเพจจะทำด้วยตนเองหรือมีแอดมินเพจ แต่การจะโพสต์ข้อความหรือรูปภาพใด ต้องผ่านการคัดกรองตรวจสอบจากเจ้าของเพจเสียก่อนไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้แอดมินเพจโพสต์ข้อความ รูปภาพไปอาจทำให้มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาหรือพ.ร.บ.การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ ฉะนั้นการออกมาบอกว่าพลเอกวิชญ์ ไม่รู้เห็นด้วยนั้น คงฟังไม่ขึ้น  

ดังนั้นการกระทำดังกล่าว จึงอาจจะเข้าข่ายการฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา29 ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตนคิดว่า กกต.สามารถวินิจฉัยได้ชัดเจน ที่ว่าหลังจากนี้การประชุมใหญ่พรรคการเมืองของ"พรรคเศรษฐกิจไทย" แล้วสรุปว่า พลเอกวิชญ์ ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคจริง ดังนั้นการโพสต์ข้อความดังกล่าวก็ถือเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองของ พลเอกวิชญ์ ที่มีเป้าประสงค์ทางการเมืองเรื่องเหล่านี้ กกต.ต้องวินิจฉัย ให้เป็นบรรทัดฐานว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดหรือไม่

ส่วนการที่มาร้องวันนี้จะส่งผลต่อ 21 ส.ส.ที่ถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐและจะเข้า "พรรคเศรษฐกิจไทย" ด้วยหรือไม่นั้น ตนเคยยื่นร้องเรียนต่อ กกต.ไปแล้วถึงมติการขับไล่ ส.ส. 21 คน ออกจากพรรคพลังประรัฐว่ามตินั้น เป็นการขับไล่ด้วยชอบตามข้อบังคับหรือไม่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็จะเกี่ยวพันกับเรื่องที่ตนมายื่นวันนี้ ซึ่งทราบมาว่า ทาง กกต.จะประชุมเพื่อหารือในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คาดว่าน่าจะนำทั้ง 2 เรื่อง เข้าพิจารณา ถ้าเรื่องขับ ส.ส.เป็นไปโดยมิชอบก็ต้องดูว่าทาง กกต.จะมีข้อสรุปอย่างไร

ทั้งนี้อาจจะเข้าข่ายความผิดหรือฝ่าฝืน อนุมาตรา 3 เพราะถ้าการที่ดำเนินการทางการเมือง โดยไม่ได้เป็นไปตามข้อบังคับพรรค ก็อาจจะเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองด้วย ทำให้ถูกยุบพรรคพลังประชารัฐได้